'พาณิชย์' นำทัพกูรูจัดสัมมนา “โอกาสทางการค้าของไทยบนเส้นทางสายไหม: ผ่าน FTA อาเซียน – จีน และอาเซียน – ฮ่องกง”

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday December 26, 2017 13:33 —กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพจัดสัมมนาใหญ่ เรื่อง “โอกาสทางการค้าของไทยบนเส้นทางสายไหม: ผ่าน FTA อาเซียน – จีน และอาเซียนฮ่องกง” ณ โรงแรมเซนทารา แกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2560 โดยมีนางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานกล่าวเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเปิดงานสัมมนาว่า งานสัมมนาที่กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วนอย่างล้นหลาม โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 1,000 คน มีวิทยากรจากภาครัฐ ภาคเอกชน และนักธุรกิจผู้มีประสบการณ์ตรงร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับโอกาสทางการค้าและการลงทุนในจีนและฮ่องกง อาทิ นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายณัฐพล เดชวิทักษ์ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) นายธีระทัศน์ รังสิวรโรจน์ บริษัท เทรเชอร์ โปรดักส์ มาร์เก็ต จำกัด และบริษัท เซี่ยงไฮ้ วันจักร จำกัด นางนทีทอง ทองไทย Thai Farm Fresh นายเกษมสันต์ วีระกุล นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญด้าน AEC นายสิทธิชัย จิวัฒน์ธนากุล ผู้จัดการทั่วไปสาขาฮ่องกง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายพัฒนพงศ์ รานุรักษ์ บริษัท Divana Spa เป็นต้น

นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2561 ที่กำลังจะมาถึง จีนและอาเซียนรวมทั้งไทย กำลังจะก้าวสู่การลดภาษีภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน อย่างเต็มรูปแบบหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเริ่มลดภาษีระหว่างกันตั้งแต่ปี 2547 และได้ทยอยลดภาษีลงแล้วกว่าร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด โดยจัดกลุ่มการลดภาษีออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

(1) สินค้านำร่อง ได้แก่ ผัก ผลไม้ สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์นมและไข่ เป็นต้น ทั้งสองฝ่ายลดภาษีเหลือศูนย์แล้วตั้งแต่ปี 2549 โดยสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะมันสำปะหลัง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 400 และสินค้าประมง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 290 เป็นต้น

(2) สินค้าปกติ มีจำนวนร้อยละ 90 ของรายการสินค้าทั้งหมด ทั้งสองฝ่ายลดภาษีเหลือศูนย์แล้วตั้งแต่ ปี 2553 โดยสินค้าที่ไทยได้ประโยชน์ เช่น สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 120 ส่วนประกอบเลเซอร์ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 2,000 ของผสมน้ำยางธรรมชาติและน้ำยางสังเคราะห์ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 120 ตัวประมวลผลวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่า ร้อยละ 110 และเม็ดพลาสติก ซึ่งมีอัตราการขยายตัวมากกว่าร้อยละ 45 เป็นต้น

(3) สินค้าอ่อนไหว ซึ่งเป็นสินค้าที่ทั้งสองฝ่ายต้องการเวลาปรับตัว จึงมีระยะเวลาการลดและยกเลิกภาษีนานกว่าสินค้าปกติ โดยลดอัตราภาษีลงเหลือไม่เกินร้อยละ 20 ในวันที่ 1 มกราคม 2555 และในวันที่ 1 มกราคม 2561 จะต้องลดภาษีลงเหลือร้อยละ 0-5 ครอบคลุมสินค้าของฝ่ายไทย เช่น แป้งข้าวสาลี น้ำผลไม้ โพลีเอสเตอร์ ยางรถยนต์ รองเท้ากีฬา ของเล่น กระจก ตู้เย็น ตู้แช่ เครื่องรับโทรทัศน์ ไมโครเวฟ แบตเตอรี่ เป็นต้น และสินค้าของฝ่ายจีน เช่น กาแฟ ใบยาสูบ ขนสัตว์ ฝ้าย ปลายข้าว แป้งข้าวเจ้า สับปะรดแปรรูป กระดาษ โพลีเอสเตอร์ กระปุกเกียร์สำหรับยานยนต์ และถุงลมนิรภัย เป็นต้น โดยสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีของจีน เช่น ใบยาสูบ กาแฟ ฝ้าย สับปะรดแปรรูป และโพลีเอสเตอร์ เป็นต้น

(4) สินค้าอ่อนไหวสูง มีจำนวนรายการสินค้าไม่เกินร้อยละ 40 หรือ 100 รายการของสินค้าอ่อนไหวทั้งหมด (พิกัดศุลกากร 6 หลัก) แล้วแต่ว่าเงื่อนไขใดส่งผลให้มีรายการสินค้าอ่อนไหวสูงน้อยกว่า โดยสามารถคงอัตราภาษีไว้ได้จนถึง 1 มกราคม 2558 หลังจากนั้น ต้องลดภาษีมาอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 50 โดยครอบคลุมสินค้าของฝ่ายไทย เช่น สินค้าเกษตร 23 รายการที่มีโควตาภาษี (อาทิ นม ครีม มันฝรั่ง กระเทียม ไหมดิบ) หินอ่อน เป็นต้น และสินค้าของฝ่ายจีน เช่น ข้าวโพด ข้าว พืชน้ำมัน น้ำตาล กระดาษ ด้ายใยสังเคราะห์ กระดาษแข็ง เป็นต้น

เนื่องจากจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน หลังจากที่มีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน อาเซียนและจีนมีมูลค่าการค้าขยายตัวเพิ่มมากกว่า 2 เท่า จาก 140 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2549 เป็น 452 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2559 การค้าระหว่างไทยและจีนก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จาก 25.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2549 เป็น 65.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2559

สำหรับฮ่องกง ในปี 2562 ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ก็จะเริ่มมีผลใช้บังคับ โดยฮ่องกง มีศักยภาพหลายด้าน อาทิ การพัฒนา SMEs การค้าบริการวิชาชีพ เป็นนักลงทุนที่มีศักยภาพ และยังมีบทบาทในการเป็นประตูการค้าและการลงทุนของไทยมายาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัจจุบันฮ่องกงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ของจีน เห็นได้จากการที่ฮ่องกงและจีนมีโครงการเชื่อมโยงใหญ่ ร่วมกัน อาทิ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลยาวกว่า 50 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างฮ่องกง มาเก๊า และจู่ไห่ มณฑลกวางตุ้งของจีน และโครงการพัฒนาพื้นที่ Guangdong - Hong Kong - Macau Greater Bay Area: Greater Bay Area (มณฑลกวางตุ้ง 9 เมือง ฮ่องกง และมาเก๊า) เพื่อพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็น World Class City Cluster โดยไทยสามารถเชื่อมโยงผ่านฮ่องกงไป Greater Bay Area ได้

ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ฮ่องกงผูกพันลดภาษีทุกรายการที่ร้อยละ 0 โดยถึงแม้ว่าปัจจุบัน ในทางปฏิบัติ ภาษีนำเข้าของฮ่องกงจะเป็นศูนย์ทุกรายการแล้ว แต่ผูกพันการลดภาษีภายใต้ WTO เพียงร้อยละ 47 เท่านั้น ดังนั้น หากไม่มีความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ฮ่องกงก็สามารถขึ้นภาษีในสินค้าอีก ร้อยละ 53 ที่ไม่ได้ผูกพันไว้ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อมีความตกลงเสรีอาเซียน-ฮ่องกง ฮ่องกงจะไม่สามารถขึ้นภาษีในสินค้าใด ๆ ได้อีก นอกจากนั้น ฮ่องกงยังเปิดตลาดบริการเพิ่มเติมตามที่ไทยเรียกร้องในบริการการผลิตเนื้อหารายการแก่ผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์ จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนไทยซึ่งมีความเชี่ยวชาญในสาขาบริการดังกล่าว จะเข้าไปลงทุนอย่างครบวงจร นอกจากนี้ ฮ่องกงได้ให้เงินสนับสนุนจำนวน 25 ล้านเหรียญฮ่องกง สำหรับแผนการดำเนินงานภายใต้บทความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ ในระยะเวลา 5 ปี หลังความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ ซึ่งครอบคลุมสาขาความร่วมมือด้านต่าง ๆ ได้แก่ บริการวิชาชีพ โลจิสติกส์ SMEs และ E-Commerce เป็นต้น โดยไทยสามารถเสนอโครงการขอความช่วยเหลือด้านวิชาการจากฮ่องกง เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในด้านดังกล่าวได้

นางสาวชุติมา เสริมว่า ความตกลงการค้าเสรีทั้ง 2 ฉบับ เป็นโอกาสในการขยายตลาด การค้าและการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งเมื่อผนวกกับนโยบายส่งเสริมความเชื่อมโยง ได้แก่ Belt and Road Initiative ของจีนกับฮ่องกง กับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของไทย ด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้การค้าการลงทุนระหว่างอาเซียน ไทย จีน และฮ่องกงขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ของไทย ในขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกอันดับ 15 และแหล่งนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน ในปี 2559 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 65.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี 2560 (ม.ค.-พ.ย.) การค้ารวมระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 67 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เป็นต้น ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น

ในปี 2559 ฮ่องกงเป็นคู่ค้าอันดับ 9 ของไทย โดยฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกอันดับ 4 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 24 ของไทย เป็นประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่ การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 13 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี 2560 (ม.ค.-พ.ย.) การค้ารวมระหว่างไทยกับฮ่องกงมีมูลค่า 13.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปฮ่องกง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง เป็นต้น สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากฮ่องกง ได้แก่ เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องประดับอัญมณี และผ้าผืน เป็นต้น

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

กระทรวงพาณิชย์

25 ธันวาคม 2560

กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เลขที่ 44/100 ถ.นนทบุรี1 ต. บางกระสอ อ. เมือง จ. นนทบุรี 11000

โทรศัพท์ (66) 2507-7444 แฟกซ์ (66) 2547-5630


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ