ครม. เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย

ข่าวทั่วไป Tuesday March 28, 2017 16:15 —สำนักโฆษก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยครม.มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย

วันนี้ ( 28 มี.ค. 60 ) เวลา 15.50 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาเรื่อง มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย (Motor Driven Vehicle) ในประเทศไทย โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการออกมาตรการเพื่อสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยให้เกิดผลเป็นรูปธรรม

พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวว่า การสร้างฐานการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย หน่วยงานภาครัฐจะต้องมีการดำเนินงานอย่างบูรณาการครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างอุปทาน (Supply) มาตรการกระตุ้นตลาดภายในประเทศ (Demand) การเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว และมาตรการสนับสนุนอื่น ๆ

ส่วนมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างอุปทาน (Supply) นั้น เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2560 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้มีการนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาเปิดให้มีการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตไฟฟ้าและชิ้นส่วนของรถยนต์ โดยครอบคลุมประเภทกิจการ ได้แก่ การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ การผลิตชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้ง กิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทั้งนี้ บีโอไอจะกำหนดเงื่อนไขว่าต้องมีการเสนอโครงการเป็นแผนงานรวม (Package) ประกอบด้วย การประกอบรถยนต์ การผลิตชิ้นส่วนหรือใช้ชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ (Traction Motor) ระบบบริหารจัดการแบตเตอรี่ (BMS) และระบบควบคุมการขับขี่ (DCU) แผนการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว และแผนการพัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ

นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต ได้มีการเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ( 28 มีนาคม 2560) ในการกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในอัตราพิเศษ โดยรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน จะลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากอัตราปกติลงกึ่งหนึ่งและรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ จะลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากอัตราปกติเหลือร้อยละ 2 ทั้งนี้ มีเงื่อนไขว่าจะต้องผ่านการอนุมัติโครงการจากบีโอไอ และมีการผลิตและใช้แบตเตอรี่ในประเทศ ในปีที่ 5

สำหรับมาตรการกระตุ้นตลาดภายในประเทศ (Demand) เพื่อให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจว่าภาครัฐให้การสนับสนุนนโยบายรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างจริงจังและชัดเจน คณะรัฐมนตรีจึงเห็นชอบให้หน่วยงานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจสามารถจัดซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่มาใช้งานได้ รวมทั้ง ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการนำรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน และรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่มาใช้เป็นรถยนต์บริการ ทั้งในส่วนของสนามบิน (รถยนต์ลีมูซีน) พื้นที่ปลอดมลพิษต่าง ๆ ภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economics Corridor Development: EEC) และเขตอุทยานประวัติศาสตร์ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เช่น อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เป็นต้น

ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม จะมีบทบาทสำคัญในเรื่องของการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน โดยการดำเนินโครงการศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ บนพื้นที่ 1,200 ไร่ ณ อำเภอสนามชัย จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยไปสู่อุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรม ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นประเทศเป้าหมายของการลงทุนในการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต โดยศูนย์ทดสอบแห่งนี้จะเปิดดำเนินการในเฟสแรกภายในเดือนมีนาคม 2561 ขณะที่ในส่วนการจัดทำมาตรฐานไฟฟ้า สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้ออกประกาศมาตรฐานเต้ารับและเต้าเสียบสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (มอก.2749) แล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำมาตรฐานที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น มาตรฐานระบบการประจุไฟฟ้าของรถยนต์ไฟฟ้ามาตรฐานความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า และมาตรฐานแบบเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนั้น มาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือรถยนต์แห่งอนาคต (Next-Generation Automotive) จะช่วยให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวเข้าสู่ยุคของการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ตามนโยบาย S Curve และ Thailand 4.0 ของรัฐบาล รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และการลงทุนในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น พลาสติกและปิโตรเคมีอิเลคทรอนิกส์ ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพิ่มมากขึ้นด้วย

-----------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

ข้อมูล:กระทรวงอุตสาหกรรม

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ