นิด้าโพลเผยคนไม่มั่นใจการเมืองไทยจะไม่กลับวังวนเดิม แนะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

ข่าวทั่วไป Sunday May 31, 2015 09:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "การเลือกตั้ง การปฏิรูปและรัฐประหาร" โดยเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อผลลัพธ์ของการทำรัฐประหารโดย คสช. เมื่อเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ของการทำรัฐประหารครั้งก่อน (โดย คมช.ในปี 2549) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.28 ระบุว่า ผลลัพธ์การทำรัฐประหารโดย คสช.ดีกว่า เพราะกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจ บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจนและจริงจัง จัดระเบียบสังคมได้ดี เป็นการทำงานเพื่อประเทศ มิได้เป็นการแสวงหาเพื่อประโยชน์ส่วนตน ลดการสูญเสียที่จะตามมาอันเนื่องมาจากการชุมนุม มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและดีกว่าตอนปี 2549 นอกจากนี้ คสช.ทำรัฐประหารโดยไม่มีการสูญเสียหรือสูญเสียน้อยกว่า อีกทั้งยังมีบทเรียนจากปี 2549 แล้ว

ขณะที่ร้อยละ 18.08 ระบุว่าผลลัพธ์การทำรัฐประหารโดย คสช.เหมือนกัน เพราะเป็นการทำรัฐประหารและควบคุมอำนาจโดยทหารซึ่งต่างมีผลดีผลเสียพอๆ กัน ส่วนประชาชนอีกร้อยละ 7.20 ระบุว่าผลลัพธ์ของการทำรัฐประหารโดย คสช.แย่กว่า เพราะยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ คมช.ยึดอำนาจแค่ไม่กี่เดือนก็คืนอำนาจให้กับประชาชนแล้ว อีกทั้ง คมช.ยังให้สิทธิและเสรีภาพความเป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็นมากกว่านี้ โดยมีเพียงร้อยละ 0.16 ระบุว่าผลลัพธ์แย่ทั้งสองฝ่าย ไม่ควรมีการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อประเทศชาติ และร้อยละ 3.28 ไม่ระบุ/ไม่สนใจ

ด้านความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง ว่าจะสามารถเดินหน้ากระบวนการปฏิรูปประเทศต่อไปได้ พบว่า ประชาชนร้อยละ 19.12 ระบุว่า มีความมั่นใจมาก, ร้อยละ 22.00 ระบุว่า ค่อนข้างมีความมั่นใจ, ร้อยละ 31.28 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความมั่นใจ, ร้อยละ 24.64 ระบุว่า ไม่มีความมั่นใจเลย และร้อยละ 2.96 ไม่ระบุ/ไม่สนใจ

โดยในจำนวนผู้ที่ระบุว่าค่อนข้างมีความมั่นใจ – มีความมั่นใจมาก ให้เหตุผลว่า เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้ ได้วางรากฐานระบบการปฏิรูปไว้แล้วเป็นอย่างดี รัฐบาลชุดใหม่น่าจะสามารถสานต่อไปได้ ขณะที่ผู้ระบุว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจ – ไม่มีความมั่นใจเลย ให้เหตุผลว่า ไม่มั่นใจในตัวนักการเมืองที่จะเข้ามาบริหารงาน ส่วนใหญ่ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองมากกว่า ถึงจะเป็นรัฐบาลชุดใหม่ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาบางอย่างยังต้องการได้รับการแก้ไข ต่างฝ่ายต่างมีความคิดที่เป็นของตัวเองและมีความหลากหลาย

สำหรับความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อประเทศไทยหลังการเลือกตั้งว่าจะไม่กลับไปสู่วังวนเดิมอีก คือ มีคนใช้อำนาจในทางที่ผิด มีความขัดแย้ง และการรัฐประหารโดยฝ่ายทหาร พบว่า ประชาชน ร้อยละ 12.40 ระบุว่า มีความมั่นใจมาก, ร้อยละ 18.16 ระบุว่า ค่อนข้างมีความมั่นใจ, ร้อยละ 35.36 ระบุว่า ไม่ค่อยมีความมั่นใจ, ร้อยละ 31.60 ระบุว่า ไม่มีความมั่นใจเลย โดยมีเพียงร้อยละ 2.48 ไม่ระบุ/ไม่สนใจ

ทั้งนี้ ในจำนวนผู้ที่ระบุว่าค่อนข้างมีความมั่นใจ – มีความมั่นใจมาก ให้เหตุผลว่า บ้านเมืองได้รับการแก้ไขและปฏิรูปในบางเรื่องไปบ้างแล้วปัญหาต่างๆ จึงน่าจะลดลง ขณะผู้ที่ระบุว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจ – ไม่มีความมั่นใจเลย ให้เหตุผลว่า ยังมีการเลือกปฏิบัติต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน ยังคงมีความขัดแย้งภายใต้ความสงบอยู่ อีกทั้งรัฐบาลที่เข้ามาส่วนใหญ่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์มากกว่าทำเพื่อประเทศ รัฐบาลที่จะเข้ามาก็เหมือนเดิม เป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขได้เกิดเป็นวงจรเช่นนี้เรื่อยไป

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการเลือกตั้งและการปฏิรูปประเทศ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 68.56 ระบุว่า ควรมีการปฏิรูปให้เรียบร้อยก่อนการเลือกตั้ง เพราะระบบเก่าที่ผ่านมายังมีปัญหาต่าง ๆ ที่ควรได้รับการแก้ไขใหม่ เพื่อเป็นการวางแผนไว้ล่วงหน้า ควรมีการเปลี่ยนแปลงการปฏิรูปประเทศให้มั่นคงก่อนเพื่อปูทางให้รัฐบาลชุดต่อไปสามารถทำงานได้ง่ายขึ้นและลดปัญหาความขัดแย้งที่จะตามมา ควรปฏิรูปบ้านเมืองให้เรียบร้อยก่อนซึ่งการเลือกตั้งนั้นสามารถทำเมื่อไหร่ก็ได้

ขณะที่ ร้อยละ 24.00 ระบุว่า ควรมีการเลือกตั้งโดยเร็วก่อนแล้วค่อยให้รัฐบาลใหม่เดินหน้ากระบวนการปฏิรูปประเทศ เพราะควรเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับชาวต่างชาติ ควรมีรัฐบาลที่เป็นทางการก่อนแล้วให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเข้ามาปฏิรูปประเทศ และแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในภายหลัง โดยมีเพียงร้อยละ 1.84 ระบุว่า ควรทำควบคู่ไปพร้อมกันหรือทำอะไรก่อนก็ได้ แต่ไม่ว่าจะทำอะไรผลก็ออกมาเหมือนเดิม ร้อยละ 5.60 ไม่ระบุ/ไม่สนใจ

อนึ่ง ผลสำรวจดังกล่าวมาจากจากความคิดเห็นของประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศ กระจายทั่วทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 27 – 28 พฤษภาคม 2558


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ