โดยอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศจำนวน 33 แห่ง ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 มีปริมาตรน้ำรวม 41,027 ล้านลุกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) คิดเป็นร้อยละ 58 ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ 17,524 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 39 ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด
ขณะที่อ่างเก็บน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 มีปริมาตรน้ำใน 4 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จำนวน 10,935 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 44 ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ 4,239 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 23 ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ส่วนลุ่มน้ำแม่กลอง มีปริมาตรน้ำใน 2 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ จำนวน 18,483 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 69 ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ 5,206 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 39 ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ส่วนแหล่งน้ำอื่นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 แหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานทั้งประเทศจำนวน 352,528 บ่อ ความจุรวม 352 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาตรน้ำรวม 211 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 60 ของความจุทั้งหมด
สำหรับมาตรการควบคุมการใช้น้ำ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้ง ปี 2558/59 ลุ่มน้ำเจ้าพระยาได้ตามแผนงานที่วางไว้จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรการควบคุมการบริหารจัดการน้ำ ดังนี้
1.ประตูระบายน้ำที่รับน้ำจากแม่น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาจะเปิดรับน้ำเฉพาะการอุปโภคบริโภคเป็นครั้งคราว ทั้งนี้ สำหรับอาคารเชื่อมต่อที่ดูแลโดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ดำเนินการตามปฏิทินการรับน้ำที่ได้เสนอกรมชลประทานในการวางแผนรอบเวรการจัดสรรน้ำไว้แล้ว
2.ลำน้ำหรือคลองส่งน้ำ ที่มีความจำเป็นต้องรับน้ำเข้าเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลิ่งลำน้ำ ให้รับน้ำเข้าในเกณฑ์ต่ำสุด ตามแผนการรับน้ำที่กรมชลประทานกำหนดไว้
3.ขอความร่วมมือไม่ให้สถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเพื่อการเกษตรสูบน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูก และขอความร่วมมือไม่ให้เกษตรกร ทำการปิดกั้นลำน้ำหรือสูบน้ำเข้าพื้นที่เพาะปลูกเช่นกัน ทั้งนี้ หากพื้นที่ใดมีความจำเป็นจะต้องสูบน้ำเพื่อใช้สำหรับการอุปโภคบริโภค ให้ดำเนินการตามปฏิทินการสูบน้ำที่ได้เสนอกรมชลประทาน ในการวางแผนรอบเวรการสูบน้ำไว้แล้ว
4.สถานีสูบน้ำของการประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค และการประปาส่วนท้องถิ่นสามารถทำการสูบน้ำได้ตามปกติ ตามแผนการสูบน้ำที่ได้เสนอกรมชลประทานไว้แล้ว
5.ลดการเพาะเลี้ยงในบ่อปลา บ่อกุ้ง เขตโครงการชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลดการเพาะเลี้ยงปลาในกระชัง ในแม่น้ำปิง แม่น้ำน่าน แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำน้อย แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าจีนและในระบบชลประทาน ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2558 ถึงวันที่ 3๐ เมษายน 2559
6.ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังและควบคุมไม่ให้มีการปล่อยน้ำเสียลงในแม่น้ำ คู คลอง และแหล่งน้ำต่าง ๆ เนื่องจากทำให้ต้องระบายน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อเจือจางน้ำเสีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำที่ต้องสำรองไว้ให้เพียงพอสำหรับการอุปโภคบริโภคและการรักษาระบบนิเวศตลอดฤดูแล้งนี้และต้นฤดูฝนหน้า
สำหรับความต้องการใช้น้ำ 1,518 ล้าน ลบ.ม.เพื่อสนับสนุนพื้นที่ปลูกข้าวนาปีและนาปีต่อเนื่องนั้น จากการประเมินปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันของเขื่อนหลักทั้ง 4 แห่ง ที่มีอยู่อย่างจำกัด กรมชลประทาน จำเป็นต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุม โดยจะส่งน้ำเฉพาะเพื่อการอุปโภคบริโภค และรักษาระบบนิเวศเท่านั้น ไม่สามารถสนับสนุนพื้นที่ปลูกข้าวได้อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งปี 2558/59 จะติดตามและบริหารสถานการณ์ โดยศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งระดับชาติ(ศก.กช.) และศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจแก้ไขปัญหาวิกฤตภัยแล้งระดับ