ทั้งนี้ กำหนดว่าหากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี เพียง 1 คน ต้องมีผู้เสนอและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกทั้งหมด และสมาชิกจะรับรองด้วยการ กดบัตรแสดงตน โดยใช้สิทธิรับรองได้เพียง 1 คนต่อ 1 รายชื่อเท่านั้น หลังจากเสนอชื่อแล้ว เลขาธิการวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่แทนเลขาธิการ สนช.จะเป็นผู้อ่านรายชื่อผู้ที่ถูกเสนอชื่อ ก่อนที่ สนช.จะขานรายชื่อสมาชิกเป็นรายบุคคลแพื่อลงคะแนนเสียง ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิก สนช. เช่น สมาชิก 197 คนก็จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนไม่ต่ำกว่า 99 เสียง
สำหรับผู้ที่จะเสนอชื่อบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติและทาบทามบุคคลดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้น ผู้ที่ถูกเสนอชื่อจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ประชุมและไม่จำเป็นต้องแสดงวิสัยทัศน์ โดยผู้ที่ถูกเสนอชื่อจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด หรือ 99 เสียง โดยใช้วิธีขานรายชื่อในการลงคะแนน
นพ.เจตน์ กล่าวว่า ในการประชุม สนช.วันพรุ่งนี้จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีเพียงวาระเดียวเท่านั้น และหลังจากมีได้บุคคลดำรงตำแน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ประธาน สนช.คงจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ โดยเร็ว
จากนั้นในสัปดาห์หน้า วิป สนช.จะพิจารณาร่างกฎหมายเร่งด่วนที่ คสช.เสนอมาจำนวน 6 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.การถวายความปลอดภัย, ร่าง พ.ร.บ.การทวงถามหนี้, ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์, ร่าง พ.ร.บ. ศุลกากร, ร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพิกัดศุลกากร และ ร่าง พ.ร.บ.การกลับไปใช้สิทธิบำเหน็จบำนาญตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494
นอกจากนี้ ที่ประชุมวิป สนช.ได้กำหนดให้มีการประชุม สนช.ทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ส่วนการประชุมของวิป สนช.จะประชุมทุกวันอังคารในช่วงบ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับการประชุมของ คสช. และการประชุมคณะรัฐมนตรี