(เพิ่มเติม) รมว.คลังเผยสนช.รับหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีมรดกวาระแรก ยังยืนเพดานเดิม 10%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 18, 2014 15:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ได้ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 160 ต่อ 16 เสียง พร้อมให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ 25 คน และกำหนดกรอบเวลาการทำงานของกรรมาธิการวิสามัญรวม 90 วัน พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้ลงมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ด้วยเสียงข้างมาก 172 ต่อ 8 เสียง พร้อมแปรญัตติ 15 วัน ระยะเวลาทำงาน 90 วัน
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) วันนี้ มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสนช. เป็นประธานการประชุม โดยได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก และร่างพ.ร.บ.แก้ไขประมวลรัษฎากร ฉบับที่..พ.ศ.... ซึ่งเสนอโดยคณะรัฐมนตรี โดยเป็นการพิจารณาคู่ขนานเนื่องจากเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า วันนี้สนช. ได้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก ในวาระแรก ซึ่งการพิจารณาของที่ประชุม สนช.ในวาระแรกไม่พบว่ามีปัญหาใดๆ และได้มีการรับหลักการในวาระแรกไปแล้ว ทั้งนี้ในที่ประชุมได้มีการเสนอให้จัดเก็บภาษีดังกล่าวในอัตราก้าวหน้า ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วมองว่าไม่จำเป็น เพราะไม่ต้องการให้อัตราภาษีที่สูงเป็นเหตุที่จะทำให้มีการนำเงินออกนอกประเทศ

"ในที่ประชุมได้เสนอให้มีการเก็บภาษีแบบยืดหยุ่น โดยให้พิจารณาถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ซึ่งส่วนตัวมองว่าอัตราภาษีที่ 10% อยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว และจะไม่เป็นการผลักดันให้มีการโยกออกนอกประเทศ" รมว.คลัง กล่าว

อย่างไรก็ดี สำหรับภาษีมรดกที่เสนอจัดเก็บในอัตราเพดานที่ 10% นั้นจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันได้กำชับให้ที่ประชุมพิจารณากฎหมายนี้อย่างรอบคอบและเป็นกลางที่สุด

ทั้งนี้อีก 90 วันจึงจะมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดกเป็นวาระที่ 2

นายสมหมาย กล่าวว่า การถ่ายโอนมรดกในปัจจุบันได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ไม่ว่าทรัพย์สินจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด จึงก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม สมควรที่จะต้องจัดเก็บภาษีตามสมควรจากการรับมรดกที่มีมูลค่าจำนวนมาก เพื่อนำไปพัฒนาประเทศและยกระดับการดำรงชีวิตของประชาชนที่ยากไร้ให้ดีขึ้น

ทั้งนี้ หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 20-21 แต่ยืนยันว่าจะไม่ให้กระทบถึงผู้ที่ได้รับมรดกพอสมควรแก่การดำรงชีพ เพราะสามารถผ่อนชำระภาษีได้ถึง 5 ปี โดย 2 ปีแรกไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ อีกทั้งในต่างประเทศล้วนจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้เช่นกัน

สำหรับร่าง พ.ร.บ.ภาษีการรับมรดก จะมีทั้งหมด 38 มาตรา โดยมีสาระสำคัญ คือ การจัดเก็บภาษีมรดก จะเก็บจากผู้ที่ได้รับมรดกที่มีมูลค่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ในอัตรา 10% โดยจะต้องเป็นการโอนมรดกให้กับทายาทโดยตรงเท่านั้น ส่วนการโอนทรัพย์สินให้บุคคลอื่นโดยเสน่หานั้น จะต้องเข้าข่ายต้องเสียภาษีการรับให้ ซึ่งกระทรวงการคลังเสนอให้มีการแก้ไขประมวลรัษฎากรของกรมสรรพากร โดยเรียกเก็บภาษีในอัตรา 5% สำหรับทรัพย์สินที่มีการโอนมากกว่า10 ล้านบาทขึ้นไป และผู้ได้รับทรัพย์สินดังกล่าวยังต้องมีภาระในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย ซึ่งปัจจุบันจัดเก็บในอัตราสูงสุดที่ 35% ทำให้ผู้ที่ต้องการผ่องถ่ายทรัพย์สินจะโดนจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนมากขึ้น

ในระหว่างการอภิปรายนายมณเทียร บุญตัน สมาชิกสนช. ได้ท้วงติงว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมได้จริงในทางปฏิบัติ และเสนอให้ปรับการจัดเก็บเป็นแบบขั้นบันได

อย่างไรก็ดี ยังสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะอาจจะมีคนที่เลี่ยงการเสียภาษีในส่วนนี้ไปตั้งเป็นกองทุนสาธารณะกุศล เหมือนในต่างประเทศที่เมื่อมีกฎหมายภาษีมรดกจะเกิดกองทุน, มูลนิธิ, องค์กรสาธารณะกุศลเพื่อสังคมจำนวนมาก

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสนช. กล่าวว่า กฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่ดีในการส่งสัญญาณที่จะสร้างความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ แต่ควรต้องรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน เพราะอาจจะส่งผลให้คนเลี่ยงไปออมเงินในต่างประเทศแทน

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ สมาชิกสนช. กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลชี้แจงให้ชัดเจนว่าการจัดเก็บภาษีการรับมรดกจะนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศด้านใด และเป็นไปในรูปแบบใด และอยากให้พิจารณาเรื่องการให้เวลาเรียกเก็บภาษีกับผู้ประกอบการหรือผู้รับมรดกที่อาจจะไม่สามารถจ่ายได้ทันที และมองว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้อาจทำให้เกิดปัญหาในครอบครัว ที่เสมือนบังคับให้บุพการีแบ่งมรดกให้ลูกเพื่อเลี่ยงการเสียภาษี ในขณะที่ลูกบางคนอาจจะยังไม่มีความพร้อมในการรับมรดก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสมาชิกอภิปรายอย่างกว้างขวางแล้ว นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ได้ชี้แจงถึงการไม่จัดเก็บภาษีแบบขั้นบันไดหรืออัตราก้าวหน้าว่า เพราะต้องการเก็บภาษีจากผู้ที่มีรายได้สูงจริงๆ ซึ่งคณะรัฐมนตรีคำนึงถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยที่เกิดขึ้นมาก จึงผลักดันกฎหมายฉบับนี้ออกมา

ขณะที่นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวย้ำว่า การเสียภาษีมรดกจะจัดเก็บเฉพาะทรัพย์สินที่ประเมินได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยหากมีพิธีกรรมรับมรดกแล้วต้องจ่ายภาษีภายใน 150 วัน และหากสามารถค้นหาทรัพย์สินเจอภายหลังเสียชีวิต ประเมินราคาทรัพย์สินไม่เกิน 50 ล้านบาทก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษี ส่วนกรณีต่างชาติเข้ามาอาศัยในประเทศไทยโดยมีภรรยาหรือเข้ามาทำงาน หากเกินระยะเวลา 3 ปีจะต้องเสียภาษีมรดกด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ