"หากลดดอกเบี้ยตอนนี้จะส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก ซึ่ง กนง.น่าจะดูผลของการลดดอกเบี้ยคราวก่อนและการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลต่อเศรษฐกิจก่อน ที่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป"นายวรุตม์ กล่าว
ด้านต่างประเทศ จะต้องติดตามตัวเลข Non-farm payroll ของสหรัฐฯ ที่จะออกในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นตัวชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ซึ่งหากตัวเลขออกมาดีมากๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.นี้
นอกจากนี้ จะต้องติดตามมาตรการของภาครัฐที่จะเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นจีน หลังจากที่ถูกเทขายออกไปอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ด้านยุโรป สัปดาห์นี้ น่าจะดูสดใสกว่าตลาดอื่น หลังจากที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ออกมาดี และปัจจัยเรื่องกรีซหมดไป
และอีกปัจจัยที่สำคัญ คือ ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 47-48 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่เคยต่ำสุดในปีที่แล้วประมาณ 43-46 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งนักลงทุนจะต้องระมัดระวัง เนื่องจากจะมีผลต่อกำไรของบริษัทน้ำมันในประเทศไทย และอาจส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงได้
แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาน้ำมันดิบ WTI จะไม่ต่ำกว่า 40 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะระดับดังกล่าวน่าจะเป็นต้นทุนของผู้ผลิต Shale gas / Shale oil ในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าราคาต่ำกว่านี้จะทำให้กลุ่มผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูงกว่านี้หยุดการผลิตน้ำมัน