นายพรชัย รัตนตรัยภพ ประธานเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การสนับสนุนเอสเอ็มอีด้วยการให้เงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ควรแยกเป็นรายกลุ่ม เพื่อให้การสนับสนุนในลักษณะที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะการสนับสนุนในกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีความพร้อม เห็นว่าจะช่วยให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากขึ้น
"เป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลจะมีแพ็กเกจออกมาจะทำให้เกิดการกระตุ้นไปถึงรากหญ้าและเงินเข้าไปในระบบ จะทำให้เศรษฐกิจมีสัญญาณที่ดีขึ้น...ปกติในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา การให้ซอฟท์โลน น่าจะแยกส่วนเอสเอ็มอีที่มีความพร้อม ,กลุ่มที่ขาดความพร้อม และกลุ่มที่พร้อมจะส่งออกไปต่างประเทศ หลังจากนั้นก็น่าจะมีการให้การสนับสนุนคนที่มีความพร้อมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในเรื่องการส่งออก ถ้าทำอย่างนั้นได้เอสเอ็มอีที่มีความพร้อมก็จะเป็นขุนพลทางเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดการซื้อขายระหว่างประเทศมากขึ้น"นายพรชัย กล่าวให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์
นายพรชัย กล่าวด้วยว่า ตามปกติการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบรากหญ้าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น ซึ่งการให้ความช่วยเหลือที่ผ่านมาก็จะมีบางกลุ่มที่เข้าถึงแหล่งสินเชื่อ ขณะที่บางกลุ่มเข้าไม่ถึงแหล่งสินเชื่อ ดังนั้น รัฐบาลควรจะเปลี่ยนวิธีการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ด้วยการแยกประเภทของกลุ่มเอสเอ็มอี แล้วให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสมในแต่ละกลุ่มในเวลาเดียวกัน
สำหรับสถานการณ์ของกลุ่มเอสเอ็มอีตลอดช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมานับว่ามียอดขายลดลง 30-40% ในทุกกิจการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ได้รับผลกระทบมากที่สุด ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารที่ไม่เคยมีผลกระทบในช่วงหลายปีที่ผ่ามา แต่ปีนี้ก็พบว่ามียอดขายลดลงเช่นกัน ทั้งนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เตรียมที่จะเสนอมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า โดยเบื้องต้นการช่วยเหลือจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ซึ่งระยะแรกจะให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ โดยให้ธนาคารออมสินพิจารณาเรื่องการปล่อยสินเชื่อ โดยให้ส่งรายละเอียดมายังกระทรวงการคลังในวันที่ 7 ก.ย. ก่อนจะนำเสนอต่อที่ประชุมครม.ในวันที่ 8 ก.ย.ต่อไป แต่จะใช้งบประมาณเท่าไรนั้นขอให้รอผลจากคณะรัฐมนตรี (ครม.)
"อย่าเรียกว่าการอัดฉีดงบ ให้เรียกมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้กับเอสเอ็มอี" นายสมคิด กล่าว
ส่วนระยะที่ 2 จะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานช่วยเอสเอ็มอีให้เข้มแข็งในอนาคต โดยมีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)
ขณะที่นางอรรชกา สีบุญเรือง รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า สำหรับแผนการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่จะนำเสนอต่อนายสมคิด คาดว่าจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 1.04 แสนล้านบาท แบ่งเป็นมาตรการด้านสินเชื่อและงบประมาณจากปี 59 ซึ่งประกอบด้วย สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูจากสถาบันการเงิน 1 แสนล้านบาท จากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป ธนาคารออมสิน และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์), สินเชื่อจากโครงการพลิกฟื้นเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหา 1,000 ล้านบาท ที่แปลงมาจากกองทุนตั้งตัวได้ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) 1,000 ล้านบาท
กองทุนสตาร์ตอัพนักรบใหม่ 1,500 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน 500 ล้านบาท เอสเอ็มอีแบงก์ 500 ล้านบาท และกำลังได้รับจากธนาคารกรุงไทยอีก 500 ล้านบาท ,งบบูรณาการเพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีประจำปี 59 อีก 1,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเอสเอ็มอี ที่ต้องการขยายตลาด เพิ่มกำลังผลิต และโครงการเพิ่มรายได้ โดยรัฐบาลจะเพิ่มช่องทางการตลาด อาทิ ปิดถนนสีลมเพื่อให้ เอสเอ็มอีสามารถนำสินค้ามาระบายแก่ผู้ซื้อโดยตรง