ม.รังสิต ชี้นโยบาย American First ส่อกระทบศก.-การค้าโลกรุนแรงกว่าคาด แนะไทยรวมกลุ่มในภูมิภาคให้แข็งแกร่ง

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday January 29, 2017 15:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ และ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงผลกระทบนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจ American First และนโยบายล่าสุดของประธานาธิบดี โดนัลทรัมป์ว่า อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและระบบการค้าโลกรุนแรงกว่าที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ รวมทั้งอาจทำให้องค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ องค์กรการค้าโลก ธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศอ่อนแอลง แม้นนโยบาย American First จะเป็นผลบวกต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่สหรัฐฯและตลาดหุ้นสหรัฐฯทะยานแรงแต่จะไม่ยั่งยืน เกิดผลกระทบต่อเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ และความตึงเครียดทางการค้ากับเม็กซิโก ค่าเงินเปโซและตลาดหุ้นเม็กซิโกจะทรุดตัวลง

พร้อมแนะไทยต้องรีบกำหนดยุทธศาสตร์เจรจาการค้าทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกา และทวิภาคีกับเม็กซิโก โดยไทยควรรีบบูรณาการและรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกายกเลิกข้อตกลง TPP นโยบายยกเลิกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียจะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียฟื้นตัวเร็วขึ้น เกิดผลบวกต่อการท่องเที่ยวโดยเฉพาะพัทยา แต่การยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับสภาคองเกรสมีปัญหาเป็นอุปสรรคต่อการพลักดันนโยบายของทรัมป์ในระยะต่อไป ทำให้สหรัฐฯมี ปัญหาความสัมพันธ์กับพันธมิตรนาโต้ในยุโรป นโยบายการกีดกันผู้อพยพและมีอคติต่อชาวมุสลิมล่าสุดของประธานาธิบดีทรัมป์ จะสร้างความขัดแย้งแตกแยกในสังคมอเมริกา เกิดแรงต่อต้านในกลุ่มนายกเทศมนตรีและกลุ่มผู้ว่าการมลรัฐสายเสรีนิยมบางส่วน ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯเกิดอุปสรรคและอ่อนแอลง

ส่วนผลกระทบ Brexit ต่อภาคเศรษฐกิจจริงแสดงผลชัดเจนขึ้น ความสำคัญของสหราชอาณาจักรต่อยุโรปลงลง ลอนดอนจะสูญเสียความเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เงินปอนด์อาจตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาแนบแน่นขึ้น เป็นผลบวกต่อเศรษฐกิจและการค้าของสหรัฐฯ ลดอำนาจต่อรองของอียูลง

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า เราจะได้เห็นการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจทางด้านอุปทาน (Supply-Side Economic Policy) มากขึ้น ลดภาษีในอัตราก้าวกระโดด (ลดภาษีนิติบุคคลหรือองค์กรธุรกิจจาก 35% ลงมาเหลือ 15%) ซึ่งจะต้องมีการตัดลดสวัสดิการจำนวนมากยกเว้นเศรษฐกิจเติบโตมากๆ จึงจะทำให้ไม่เกิดปัญหาเพดานหนี้สาธารณะ การปรับลดภาษีชุดใหญ่และอย่างแรงทั้งภาษีรายได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล พร้อมกับการประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะเพิ่มอีกอย่างน้อย 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ก็น่าจะทำให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สูงขึ้น หากอัตราการเติบโตไม่เพิ่มสูงขึ้นตามเป้าหมาย สหรัฐอเมริกาจะเผชิญกับปัญหาหน้าผาทางการคลังในที่สุด จะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบในการทำธุรกิจมากขึ้นในสหรัฐฯ ขณะที่กีดกันสินค้านำเข้าจากต่างประเทศมากขึ้นอีก มีนโยบายโน้มเอียงสนับสนุนชาตินิยมทางเศรษฐกิจมากขึ้น

การตอบสนองในตลาดปริวรรตเงินตราในระยะสั้น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นได้อีก เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นพร้อมดอกเบี้ยแท้จริงลดลง ทำให้ธนาคารกลางจำเป็นต้องปรับเพิ่มดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม อาจมีความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอีก และไม่สามารถตกลงกันได้ว่าใครจะจ่ายค่าสร้างกำแพงตามแนวชายแดน เงินเปโซเม็กซิโกทรุดลงได้อีก (ไม่ต่ำกว่า 20-30%) ราคาน้ำมันปรับเพิ่มได้อีก ส่วนสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดล่วงหน้าปรับตัวสูงขึ้นตลาดการเงินโลก ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดปริวรรตเงินตราจะผันผวนหนักขึ้นทั้งปรับขึ้นและปรับลง ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกาจะขึ้นแรงและเร็วกว่าที่คาดจากแรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นชัดเจน ระบบการค้าโลกถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ

นโยบายและมาตรการกีดกันสินค้าจากจีนโดยการตั้งกำแพงภาษี 45% ที่ประธานาธิบดีโดนัลทรัมป์กล่าวระหว่างการหาเสียงไม่อาจเกิดขึ้นได้จริงเพราะขัดต่อระเบียบองค์กรการค้าโลกและไม่น่าจะผ่านรัฐสภา

ส่วนผลกระทบต่อไทยนั้น ผลที่มีต่อตลาดการเงินไม่มีนัยสำคัญมาก ตลาดหุ้นอาจผันผวนบ้างในระยะสั้น เงินบาทอาจมีการอ่อนตัวบ้าง เงินทุนระยะสั้นอาจเคลื่อนย้ายออกบ้าง ผลกระทบสำคัญน่าจะเป็นด้านการค้ามากกว่าทั้งทางบวกและทางลบ การส่งออกไปสหรัฐฯ จะมีความเสี่ยงมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสสองปีหน้าเป็นต้นไป การกีดกันสินค้านำเข้าจากจีนจะกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยด้วย เพราะไทยจีนมีสินค้าหลายตัวอยู่ในห่วงโซ่อุปทานเดียวกัน ไทยควรกำหนดยุทธศาสตร์ในการปรับโครงสร้างภาคส่งออกและห่วงโซ่อุปทานให้พึ่งพาจีนและญี่ปุ่นน้อยลง

ภาคส่งออกไทยจะมีความยากลำบากมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย (ถ้าไม่นับอาเซียน 10 ประเทศรวมกัน) โดยในปี 2558 ไทยมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ 24,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 11.2 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด โดยมีสินค้าสำคัญ อาทิ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์และส่วนประกอบ และเครื่องนุ่มห่ม รวมทั้งอาหารทะเลและผลไม้กระป๋องแปรรูป ซึ่งสินค้าเหล่านี้มีสัดส่วนรวมกันถึงร้อยละ 51.4 ของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯทั้งหมด

การเกิดความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก และการตั้งกำแพงต่อสินค้าจากเม็กซิโก จะทำให้เกิดโอกาสของสินค้าไทยบางประเภทเพิ่มขึ้น เช่น เครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้า อาหารทะเลแปรรูป รถยนต์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

ส่วนประเทศไทยนั้นควรมียุทธศาสตร์และนโยบายทางการค้าที่ชัดเจนขึ้นและควรพลักดันให้มีความคืบหน้าในการเจรจาFTA กับสหรัฐฯและ FTA กับสหราชอาณาจักรหลังเลือกตั้ง

เม็ดเงินลงทุนของกลุ่มทุนสหรัฐอเมริกาในไทยอยู่ในอันดับต้นๆ มาตลอด ในปี 2555 (ก่อนรัฐประหาร) อยู่ที่ 22,782 ล้านบาท ช่วง ส.ค.58 ถึง ส.ค.59 เม็ดเงินลงทุนอยู่ที่ราว 6,115 ล้านบาท หากสหรัฐฯ เห็นไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคได้ ก็น่าจะเร่งลงทุนในไทยมากขึ้น การลงทุนทางด้านกิจการพลังงาน อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ธุรกิจสถาบันการเงินน่าจะเพิ่มขึ้น

แรงกดดันของสหรัฐฯต่อไทยในเรื่องสิทธิแรงงาน สิทธิมนุษยชน ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เชื่อมโยงกับการค้าจะลดลง เนื่องจากผู้นำสหรัฐฯคนใหม่ไม่ได้ให้น้ำหนักหรือความสำคัญต่อเรื่องดังกล่าว แรงกดดันต่อไทยให้กลับคืนประชาธิปไตยและการเลือกตั้งลดลง ผู้นำสหรัฐฯจะขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศโดยนำเอาประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ การค้าและผลประโยชน์ทางธุรกิจและการลงทุน เป็นตัวนำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ