พาณิชย์จับมือ WEF-Grow ASIA ร่วมสนับสนุนสินค้าเกษตรไทยมูลค่าสูงสู่ตลาดโลก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 22, 2017 11:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานในการประชุมนานาชาติร่วมกับ WEF-Grow ASIA เพื่อหาแนวทางส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยให้ขยายสู่ตลาดโลก ผ่านความร่วมมือกับภาคธุรกิจชั้นนำและภาคีด้านต่างๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาเกษตรกรรายย่อยให้ผลิตสินค้าเกษตรแบบยั่งยืน สร้างความมั่นคงให้รายได้แก่เกษตรกรและเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าสินค้าส่งออก ส่งผลดีต่อการยกระดับเศรษฐกิจภูมิภาคและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ประเทศไทย 4.0

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยมีศักยภาพสูงด้านสินค้าเกษตร และผลจากการเดินทางไปประชุม WEF 2017 ณ เมืองดาวอส เมื่อช่วงเดือนม.ค.ที่ผ่านมา นานาประเทศล้วนให้ความสนใจต่อสินค้าเกษตรไทย และไทยจะมุ่งพัฒนาสินค้าเกษตรไทยสู่การส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารที่มีคุณภาพสูงและมูลค่าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะข้าวที่สามารถแปรรูปเป็นยา อาหารเสริม เครื่องสำอาง วัสดุและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับโอกาสในตลาดโลกที่จะให้ความสำคัญกับสินค้าสุขภาพและชีวภาพมากขึ้น

ด้าน น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์จะร่วมกับ Grow Asia ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ WEF จัดประชุมในหัวข้อ Partnership for Agricultural Trade and Inclusive Growth กับภาครัฐ เอกชน NGO และนักวิชาการนานาชาติเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพและนวัตกรรม ซึ่งไทยเองก็ได้เริ่มผลักดันสินค้าเกษตรมูลค่าสูงเหล่านี้แล้ว ทั้งสินค้าเกษตรอินทรีย์และเกษตรเฉพาะถิ่น (GI) รวมถึงการส่งเสริมการนำผลการวิจัยและพัฒนามาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์มากขึ้นเป็นลำดับ

สำหรับเครือข่ายของ Grow Asia จะเข้ามาเติมเต็มด้านข้อมูลแนวโน้มความต้องการสินค้าเกษตรนวัตกรรมของโลกและมาตรฐาน รวมถึงการหาหุ้นส่วนเพื่อร่วมลงทุนและเจาะตลาดเป้าหมายในต่างประเทศ และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้เกษตรกรรายย่อย ซึ่งเป็นการยกระดับความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากในภูมิภาค (Local Economy) อีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ Euromonitor International คาดว่าตลาดสินค้าอาหาร และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 6-7% ต่อปี และในปี 2560 คาดว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นโอกาสที่จะเร่งผลักดันการสร้างมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมให้แก่สินค้าข้าวไทยเป็นลำดับแรก เพราะเกี่ยวเนื่องกับชาวนามากถึง 37 ล้านคน

แต่ปัจจุบันปริมาณข้าวมากกว่า 90% ที่ไทยผลิตได้ยังคงติดกับดักในการขายเป็นสินค้าขั้นต้น (Commodity) และข้าวที่ใช้ในการแปรรูปเพิ่มมูลค่ามีเพียงแค่ 10% ทั้งที่ข้าวไทยมีความพร้อมในการพัฒนา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน เช่น แกลบนำไปผลิตถ่านที่ให้ความร้อนสูงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รำข้าวผลิตเป็นน้ำมันที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการสูงจมูกข้าวและสารสกัดคาร์โบไฮเดรตในข้าวนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอาง เมล็ดข้าวนำมาผลิตเป็นแป้งข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว พาสต้า

โดยข้อดีของผลิตภัณฑ์จากข้าว คือ ปราศจากสารกลูเตน (Gluten Free) ที่อยู่ในธัญพืช เช่น ข้าวสาลี ซึ่งในปัจจุบันมีกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติแพ้สารดังกล่าว อย่างไรก็ดี เมื่อผลักดันสินค้าข้าวเข้าสู่สินค้าเกษตรนวัตกรรมสำเร็จแล้ว จะขยายผลสู่สินค้าเกษตรอื่นๆ ในวงกว้างมากขึ้น

โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จะทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมองเห็นลู่ทางและโอกาสในการพัฒนาสินค้าเกษตรไทยให้ตรงกับแนวโน้มความต้องการของโลก ผลิตสินค้าได้ตรงตามมาตรฐานของแต่ละประเทศ รวมทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายผู้ผลิตในระดับนานาชาติเพื่อร่วมกันพัฒนาการค้าสินค้าเกษตร และขยายช่องทางการค้าสินค้าเกษตร ไปสู่ตลาดโลกให้เพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นการช่วยยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืนต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ