รมว.คลัง ระบุยังต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพภาคธุรกิจ-พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อยกระดับความสามารถแข่งขันประเทศ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 20, 2017 13:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนา Thailand Competitiveness Conference 2017 : Reinforcing the Foundation for Competitiveness โดยระบุว่า ขณะนี้ยังมีบางเรื่องที่ประเทศไทยยังได้รับการจัดอันดับเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะประสิทธิภาพของธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งรัฐบาลพยายามเร่งผลักดันให้มีการพัฒนาขึ้น

รมว.คลัง กลาวว่า ในอดีตที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ประเทศไทยจะมีภาคธุรกิจที่มีความเข้มแข็งและสามารถเป็นผู้นำหลักในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้ แต่สถานการณ์ในปัจจุบันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

"สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ คือรัฐบาลพยายามผลักดันให้เอกชนเร่งปรับตัว เร่งลงทุน แต่เอกชนก็ยังมองว่ายังใช้กำลังการผลิตไม่เต็มที่ ยังต้องรอก่อน แต่การเร่งลงทุนนั้น ไม่ได้หมายถึงการขยายกำลังการผลิต แต่อาจจะทำในรูปแบบของการปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตก็ได้ ทำให้เราแข่งขันได้มากขึ้น ตอนนี้เราคงต้องมองดูตัวเองว่าเมื่อเทียบกับโลกแล้ว เรามีความสามารถทางการแข่งขันแค่ไหน ถ้ายังมีน้อยก็ต้องทำเพิ่ม เพราะภาคเอกชนมีความสำคัญต่อการเติบโตของประเทศเป็นอย่างมาก" รมว.คลังกล่าว

พร้อมระบุว่า การลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่ไทยเคยมีความสามารถทางการแข่งขันที่ดีและสู้กับประเทศคู่แข่งได้นั้น หากไม่มีการต่อยอดหรือปรับปรุงเทคโนโลยีให้ดีขึ้นก็อาจจะทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันได้แล้ว โดยเฉพาะกับเวียดนาม ที่มีการพัฒนาการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ดีขึ้นมาก สินค้าหลายตัวสามารถแข่งขันกับไทยได้เป็นอย่างดี ดังนั้นรัฐบาลจึงได้สนับสนุนให้มีการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม New S Curve เพื่อเป็นการวางรากฐานและต่อยอดให้กับอนาคตของประเทศ แม้จะยอมรับว่าในระหว่างที่มีการลงทุนในส่วนนี้อาจจะไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้รวดเร็วนัก

"การลงทุนใน S Curve ตัวใหม่อาจจะไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจโตได้เร็ว ที่ผ่านๆ มาจึงมีการไปปั๊ม S Curve ตัวเดิมๆ เพราะมันง่ายกว่าที่จะไปลงทุนใหม่ แต่รัฐบาลชุดนี้เน้นการปฏิรูป ไม่มองระยะสั้น แต่มองยาวๆ เราหวังว่าที่เราได้ลงทุนไปในรัฐบาลนี้จะส่งผลดีในอนาคต และเชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะอาศัยประโยชน์จากที่เราได้ลงทุนไว้นี้เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว" รมว.คลัง กล่าว

สำหรับเรื่องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ยังได้รับการจัดอันดับที่ยังไม่ดีนัก นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้จึงให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะวางรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตให้กับประเทศ โดยเชื่อว่าในระยะเวลาอีก 1-2 ปี ความสามารถในการแข่งขันของไทยด้านโครงสร้างพื้นฐานจะได้รับการจัดอันดับดีขึ้นไปอยู่ในอันดับไม่ต่ำกว่า 40 อย่างแน่นอน

"ตอนนี้การลงทุนภาครัฐคิดเป็น 8-9% ต่อจีดีพี ขณะที่มาเลเซียตอนนี้อยู่ที่ 15% เพราะเราเพิ่งจะเริ่มลงทุนในช่วงแรก แต่เชื่อว่าปีหน้าการลงทุนภาครัฐจะขยับขึ้นไปที่ 15-16% ต่อจีดีพี และจะเป็นตัวที่ช่วยดึงการลงทุนของภาคเอกชนให้เข้ามาอีกมาก" รมว.คลังกล่าว

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในโลกปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกันเป็นอย่างมาก ความสามารถทางการแข่งขันจึงเป็นสิ่งสำคัญและถือเป็นตัวที่ชี้นำอนาคตและความอยู่รอดขององค์กรได้ ผู้ที่มีความสามารถทางการแข่งขันสูงย่อมจะได้เปรียบกว่าผู้ที่มีความสามารถทางการแข่งขันต่ำ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้เน้นเรื่องการปฏิรูปและปรับปรุงขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่เป็นอนาคตในระยะยาว โดยไม่ได้มองแค่ผลที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงและสามารถแข่งขันได้เป็นอย่างดีในอนาคต

"เรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ถือเป็น 1 ใน agenda 20 ปีของสภาพัฒน์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ให้ความสำคัญ มีการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศขึ้น...ล่าสุดแม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีที่ IMD ได้จัดอันดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยดีขึ้น 1 อันดับจากปีก่อน มาอยู่ที่อันดับ 27 จากทั้งหมด 63 ประเทศ และมีคะแนนเพิ่มขึ้นเป็น 80 คะแนนก็ตาม แต่ก็ทำให้คิดได้ว่าการเพิ่มเพียง 1 อันดับ น่าจะหมายถึงประเทศคู่แข่งของเราเขาก็วิ่งได้เร็วเช่นกัน ซึ่งถ้าเราวิ่งช้า เราจะถูกประเทศอื่นแซงหน้าได้เหมือนกัน" รมว.คลัง กล่าว

พร้อมระบุว่า จากการที่ธนาคารโลกได้จัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจของประเทศไทย ซึ่งดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 3 อันดับ เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีความตั้งใจที่จะแก้ไขระเบียบกฎเกณฑ์ที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชนให้หมดไปหรืออย่างน้อยก็ลดลง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้มาก โดยสั่งการให้ทุกหน่วยงานไปทบทวนแก้ไขกฎระเบียบที่มีความล้าหลังให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น และยังกำชับให้ทุกหน่วยงานต้องรายงานความคืบหน้าในทุก 3 เดือนด้วย ซึ่งสิ่งนี้เชื่อว่าจะทำให้ภาคธุรกิจเห็นว่ารัฐบาลมีความเอาใจใส่และตั้งใจแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ และจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการได้รับการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจและเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้แก่ประเทศได้


แท็ก thailand   E 20  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ