(เพิ่มเติม) คนร. สั่ง THAI-ขสมก.-รฟท.เสนอรูปแบบธุรกิจต่อคมนาคมเพื่อแก้ปัญหาหนี้สิน/ให้ SME Bank พ้นจากแผนฟื้นฟู

ข่าวเศรษฐกิจ Friday January 19, 2018 14:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยผลการประชุม คนร. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ที่ประชุม คนร.ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสาหกิจทั้ง 7 แห่ง ประจำปี 2560 รวมทั้งรับทราบแผนขับเคลื่อนองค์กรระยะยาวและแผนปฏิบัติการปี 2561 ตามที่รัฐวิสาหกิจเสนอ ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจแล้ว

โดย คนร.ได้สั่งการให้ บมจ.การบินไทย (THAI), องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย ( รฟท.) นำเสนอรูปแบบธุรกิจ (Business Model) ที่จะทำให้ผลประกอบการไม่ขาดทุน และสามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่งได้อย่างยั่งยืน โดยเสนอกระทรวงคมนาคมพิจารณาและกำกับการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมายต่อไป

ทั้งนี้ บมจ.การบินไทย (บกท.) หรือ THAI มีอัตราการขนส่งผู้โดยสาร (Cabin Factor) และการใช้ประโยชน์จากเครื่องบิน (Aircraft Utilization) ดีกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่ง แต่เนื่องจากธุรกิจด้านการบินมีสภาพการแข่งขันที่รุนแรงยังอาจส่งผลกระทบกับ บกท. ดังนั้น คนร. จึงได้สั่งการให้ บกท.เร่งนำระบบ Revenue Management System (RMS) และระบบ Network Management System (NMS) มาใช้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น และควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายฝ่ายช่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้และสร้างความสามารถในการแข่งขันของ บกท. โดยคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยในการให้บริการด้วย นอกจากนี้ คนร.ยังได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับ บกท. พิจารณารูปแบบในการธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะอุตสาหกรรมในปัจจุบัน และพิจารณาเส้นทางการบินและแบบฝูงบินให้มีความสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งพิจารณาแผนการนำสายการบินไทยสมายล์เพื่อมาสนับสนุนการดำเนินการของ บกท.ด้วย

ด้านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดซื้อรถโดยสาร NGV จำนวน 489 คัน และจัดทำแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาวแล้ว โดย คนร. ได้ขอให้ ขสมก. พิจารณากำหนดทิศทางการให้บริการของ ขสมก. ที่ชัดเจนสอดคล้องกับแผนปฏิรูปเส้นทางที่กรมการขนส่งทางบกได้เริ่มดำเนินการแล้ว และเชื่อมโยงกับระบบขนส่งมวลชนประเภทอื่นด้วย เช่น รถไฟฟ้า รถไฟ และทางเรือ เป็นต้น และขอให้ ขสมก. พิจารณาเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับจากระบบตรวจสอบและติดตามการเดินรถ (GPS) และ/หรือระบบขนส่งมวลชนอื่นเพื่อให้เป็นข้อมูลที่บุคคลทั่วไปสามารถใช้ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่น เพื่อประโยชน์ในการรับบริการของประชาชนได้ (Open Data) นอกจากนี้ คนร. ได้สั่งการให้กรมการขนส่งทางบกกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประมูลผู้ประกอบการเดินรถเส้นทางใหม่ และกำหนดประเภทรถที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้โดยสารและมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการต่อรถในประเทศให้มีส่วนร่วมด้วย

"ส่วนแผนปรับฐานค่ารถ ขสมก. และบริษัท การบินไทย มีการปรับแผนธุรกิจให้ใกล้เคียงกับสายการบินต้นทุนต่ำ หรือ โลว์คอสต์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนั้น ที่ประชุม คนร.มอบให้กระทรวงคมนาคมที่กำกับดูแลไปพิจารณา เมื่อได้ข้อสรุปอย่างไร ให้มารายงาน คนร. ต่อไป" นายเอกนิติกล่าว

การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ลงนามสัญญาการก่อสร้างทางคู่จำนวน 5 เส้นทางแล้ว โดยคาดว่าจะก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จในปี 2563 และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อเดินรถและซ่อมบำรุง (Operation & Maintenance) ในโครงการรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และบริษัทลูกเพื่อบริหารสินทรัพย์ของ รฟท. ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนการขับเคลื่อนองค์กรในระยะยาว คนร.ได้สั่งการให้ รฟท.พิจารณากำหนดทิศทางการดำเนินการให้สอดคล้องกับภารกิจขององค์กรและภารกิจของกรมการขนส่งทางราง รวมทั้งโครงสร้างของธุรกิจการขนส่งระบบรางในอนาคต นำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน จัดทำฐานข้อมูลทรัพย์สิน และปรับปรุงระบบบัญชีและงบการเงินให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินของ รฟท. ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมและ รฟท. เร่งศึกษาต้นทุนมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพเพื่อประกอบการพิจารณาราคาค่าโดยสารยุติธรรม โดยให้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ใช้บริการด้วย

นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม คนร.ได้มีมติให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME Bank ออกจากแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ในฐานะกระทรวงเจ้าสังกัดกำกับติดตามการดำเนินงานของ ธพว.ต่อไป หลังจากมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูจนถึงปัจจุบัน ประกอบกับ ธพว.มีการจัดทำระบบการทำงานและการกำกับดูแลที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาในอดีตและสร้างความยั่งยืนในการประกอบกิจการในอนาคต รวมทั้งได้สั่งการให้ ธพว.ให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ให้สามารถดำเนินการตามภารกิจของ ธพว.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แข็งแกร่ง และยั่งยืน

ซึ่งการที่ คนร.ให้ ธพว.ออกจากแผนฟื้นฟู เนื่องจาก 3 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนเข้าแผนฟื้นฟูมี NPL อยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันลดเหลือ 1.6 หมื่นล้านบาท และสามารถดำเนินการพันธกิจของ ธพว. สนับสนุนนโยบายของรัฐ สามารถปล่อยสินเชื่อตามแนวทางประชารัฐได้ 4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าทำได้ดีมาก ประกอบกับธนาคารได้บริหารจัดการระบบการทำงานที่ดี มีมาตรฐาน และช่วยแก้ไขปัญหาในอดีต รวมถึงสร้างความยั่งยืนในการประกอบกิจการด้วย

สำหรับธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) มีความคืบหน้าจากการที่สามารถแยกหนี้ดีหนี้เสีย และดำเนินการโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPF) ในส่วนของลูกค้าที่ไม่ใช่มุสลิมไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด แล้ว สำหรับความคืบหน้าในการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับโครงสร้างทางการเงินให้ ธอท. และรองรับการสรรหาพันธมิตร อยู่ระหว่างเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา นอกจากนี้ คนร. ยังได้กำหนดกรอบเป้าหมายการดำเนินงานให้ ธอท. มีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิในปี 2561 และสามารถหาพันธมิตรให้ได้ภายในเดือนมีนาคม 2561 และขอให้สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาองค์กรให้แก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และตั้งใจจะให้ ธอท.ออกจากแผนฟื้นฟูให้ได้ภายในปีนี้

โดยล่าสุด ธอท.ได้แยกหนี้ดีและหนี้เสีย และสามารถดำเนินการโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPF ในส่วนที่ไม่ใช่มุสลิมไปยังบริษัท บริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัดแล้ว ด้านการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับโครงสร้างทางการเงิน หรือการเพิ่มทุนเพื่อแก้ไขปัญหาขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยจะมีการเสนอแก้ไขกฏหมาย 1 มาตราให้แล้วเสร็จก่อนเดือนมี.ค.

ด้าน บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม ได้จัดทำแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรระยะ 10 ปีแล้ว ซึ่ง คนร. ได้สั่งการให้ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท สร้างความชัดเจนในการนำดิจิทัลมาใช้เพื่อกำหนดทิศทางการให้บริการ รวมทั้งพิจารณาภารกิจการให้บริการโทรคมนาคมของ บมจ. ทีโอที บมจ. กสท บริษัทโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติ จำกัด (NBN) และบริษัท โครงข่ายระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเทอร์เน็ต จำกัด (NGDC) ไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน และมีรายละเอียดของแผนการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการให้เทียบเท่าเอกชนด้วย

นอกจากนี้ คนร. ได้สั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับให้ บมจ. ทีโอที และ บมจ. กสท ดำเนินการถ่ายโอนทรัพย์สินที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบกิจการไปยังบริษัท NBN และบริษัท NGDC ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดภายในเดือนมีนาคม 2561 และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมพิจารณาการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วทั้งของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำซ้อนในการลงทุน

นายเอกนิติ กล่าวด้วยว่า คนร. มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในรัฐวิสาหกิจ เพื่อยกระดับให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจมีระบบธรรมาภิบาลที่ดีเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการจะมีผู้แทนทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance) ได้แก่ 1) นายรพี สุจริตกุล กรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นประธานอนุกรรมการ 2) ผู้อำนวยการ สคร. 3) นายประสัณห์ เชื้อพานิช ประธานกรรมการสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย 4) นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านบรรษัทภิบาลและความรับผิดชอบต่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 5) นายยุทธ วรฉัตรธาร กรรมการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ 6) นางสาวรัชฎา อนันตวราศิลป์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ภาคสถาบันการเงิน ธนาคารโลก 7) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 8) ผู้แทนองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เป็นอนุกรรมการ และ 9) ที่ปรึกษาหรือรองผู้อำนวยการ สคร. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ

โดยมีอำนาจหน้าที่ในการวิเคราะห์ระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งสภาพปัญหาและอุปสรรคการกำกับดูแลและติดตามผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจในปัจจุบัน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม เพื่อให้การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเป็นไปอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาลที่ดี และมีประสิทธิผลสูงสุด รวมทั้งเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับระบบการกำกับดูแลและระบบธรรมาภิบาลของรัฐวิสาหกิจให้เหมาะสม

"การประชุม คนร.ในครั้งนี้ให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว ให้รัฐวิสาหกิจด้วยระบบธรรมาภิบาลและความโปร่งใส การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบในเชิงโครงสร้าง การกำหนดสัดส่วนการลงทุนของภาคเอกชนในกิจการต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยภาครัฐยังคงลงทุนหรืออุดหนุนในส่วนที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดผ่านบริการสาธารณะที่มีคุณภาพ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้ประเทศมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียง" นายเอกนิติระบุ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ