เรียลตี้ แทรค รายงานในวันนี้ว่า ยอดการยึดบ้านหลุดจำนองเดือนก.พ.ในสหรัฐพุ่งขึ้น 30% จากปีที่แล้ว แม้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งออกนโยบายใหม่ให้ระงับการยึดบ้านหลุดจำนองก็ตาม
รายงานของเรียลตี้ แทรคระบุว่า ในเดือนก.พ.เจ้าของบ้านในสหรัฐทั่วประเทศเกือบ 291,000 แห่งถูกยื่นโนติสเพื่อแจ้งเรื่องการยึดบ้าน ซึ่งเป็นสถิติที่เพิ่มขึ้น 6% จากเดือนม.ค. โดยส่วนใหญ่บ้านที่ถูกยึดจะมีถิ่นฐานอยู่ในรัฐทางฝั่งตะวันตกและฟลอริด้า นอกจากนี้ จำนวนบ้านที่ถูกยึดในรัฐไอดาโอ อิลลินอยส์ และโอเรกอน ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ริค ชาร์กา รองประธานเรียลตี้ แทรค กล่าวว่า "ตลาดอสังหาริทรัพย์ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัว และคาดว่าสถานการณ์ในวันข้างหน้าจะแย่ลงอีก หรือแย่ลงจนถึงขั้นวิกฤติ ยอดการยึดบ้านหลุดจำนองพุ่งขึ้นแม้ว่าสถาบันการเงินรายใหญ่อย่างเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป, แบงค์ ออฟ อเมริกา, แฟนนีเม และเฟรดดี แมค ประกาศระงับการยึดบ้านหลุดจำนองไว้ชั่วคราว เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ที่ต้องการลดจำนวนบ้านถูกยึด"
ชาร์กากล่าวว่า ขณะที่ยอดการยึดบ้านหลุดจำนองพุ่งขึ้นทั่วประเทศนั้น อสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆก็ถูกธนาคารยึดเป็นจำนวนมากขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้จำนวนบ้านค้างสต็อคในสหรัฐพุ่งสูงขึ้น และอาจทำให้วิกฤตการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยืดเยื้อยาวนานต่อไปอีก
รายงานยอดการยึดบ้านครั้งล่าสุดถือเป็นประเด็นท้าทายความสามารถของประธานาธิบดีโอบามาและคณะ โดยขณะนี้โอบามากำลังวางแผนให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 9 ล้านคนให้สามารถรักษาบ้านเอาไว้ได้ โดยผ่านการรีไฟแนนซ์หรือกู้เงินโดยผ่อนชำระรายเดือนในอัตราที่ต่ำลง สำนักข่าวเอพีรายงาน