L&E เตรียมรุกตลาดตปท.เพิ่มเน้นอินโดฯ-ฟิลิปปินส์ หลังย้ายเข้าเทรดใน SET

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 21, 2014 11:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ (L&E) กล่าวถึง แผนการดำเนินงานภายหลังที่บริษัทฯได้เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า เพื่อรองรับกลุ่มนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อย ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้สามารถเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ โดย L&E มีแผนจะขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียนในปี 58 เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯจากการนำผลิตภัณฑ์ LED เข้าสู่ตลาดอาเซียน โดยมองตลาดประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของรายละเอียดได้ในปีหน้า ขณะที่ปัจจุบันบริษัทฯมีการขยายไปยังต่างประเทศบ้างแล้ว ในพม่าและวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายราว 3-4% และเมื่อสามารถขยายตลาดเพิ่มน่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 10% ได้ภายใน 3%

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายตลาดค้าปลีกและค้าส่งเพิ่มมากขึ้น โดยจะมีการจับมือกับพันธมิตรหลายราย ซึ่งจะช่วยดันการเติบโตของตลาดค้าปลีก-ค้าส่ง คาดว่าจะสูงขึ้นราว 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5%

ในวันนี้ L&E ได้ย้ายเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค (Consumer Products) หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน (Home & Office Products) หลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai มาเป็นเวลา 10 ปี โดยปัจจุบันบริษัทมีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ ที่ 494,160,884 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท และมีกำไรสุทธิสูงกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนด

"L&E เข้ามาเทรด ใน SET จะยิ่งสร้างความน่าสนใจลงทุน และผ่านกฎเกณฑ์ของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน กองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้มีกลุ่มนักลงทุนสถาบันสนใจลงทุนในหุ้นของเราแต่ ติดข้อจำกัดหลายประการ แต่หลังจากบริษัทย้ายไปจดทะเบียนใน SET จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบัน" นายปกรณ์ กล่าว

สำหรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 58 บริษัทฯ คาดว่าจะดีกว่าปีนี้ที่ประเมินไว้ว่าจะขยายตัว 15-20% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 2,458 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตหลอดไฟ LED แห่งแรกในประเทศไทย ที่จะเสร็จได้ภายในปลายไตรมาส 4/57 และจะสามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2/58 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 10 ล้านหน่วย/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 ล้านหน่วย/ปี

ส่วนในปี 57 คาดว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/57 จะดีกว่าทุกไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากจะมีการรับรู้งานโครงการราว 60-70% ของงานในมือที่มีอยู่ 900 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 3/57จะดีกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยครึ่งปีแรกมียอดขายอยู่ที่ 17% และ กำไรสุทธิที่ 23% เนื่องจากกำลังซื้อเริ่มกลับเข้ามา และมีงานโครงการออกมามากขึ้น รวมถึงคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าเล็กน้อยปีก่อน ที่อยู่ที่ 5.8% จากบริษัทฯมีการควบคุมต้นทุน และมียอดขายที่เพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ