MTLS พร้อมซื้อขายใน SET 26 พ.ย.มูลค่าหลักทรัพย์ ราคา IPO 11,660 ลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday November 25, 2014 16:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บมจ. เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน ตลท. ภายใต้กลุ่มธุรกิจการเงิน หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 โดย MTLS และบริษัทย่อยดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ รถยนต์ รถเพื่อการเกษตร สินเชื่อส่วนบุคคลแก่ลูกค้าที่มีประวัติดีและมีการผ่อนชำระสินเชื่อทะเบียนรถกับบริษัทฯ และธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย ผ่านสาขาของบริษัท 454 สาขา ทั่วประเทศ และเป็นผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์ระดับประเทศ

MTLS มีทุนชำระแล้ว 2,120 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 1,575 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 545 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) 502.5 ล้านหุ้น และต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานบริษัทฯ 42.5 ล้านหุ้น ในราคาเดียวกันที่หุ้นละ 5.50 บาท เมื่อวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2557 มีมูลค่าระดมทุน 2,997.50 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 11,660 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เมืองไทย ลิสซิ่ง (MLTS) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายพื้นที่การให้บริการลูกค้าให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัท โดยจะนำเงินที่ได้ไปขยายการให้สินเชื่อและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจที่เหลือนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท และเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนในอนาคตผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ อันจะช่วยให้บริษัทบริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

MTLS มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มครอบครัวเพ็ชรอำไพ ประกอบด้วย นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ และนางดาวนภา เพชรอำไพ ถือหุ้นรวม 66.27% นายวศิน เดชกิจวิกรม ถือหุ้น 3.07% และ นายสรชัย เดชกิจวิกรม ถือหุ้น 3.07% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio ) 22.23 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิ 4 ไตรมาสย้อนหลัง (1 ตุลาคม 2556 - 30 กันยายน 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.25 บาท และหากเปรียบเทียบค่า P/E Ratio เฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (18 พฤศจิกายน 2556 - 17 พฤศจิกายน 2557) จะเท่ากับ 18.67 เท่า

ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากงบเฉพาะกิจของบริษัทฯ ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองตามที่กฎหมายกำหนด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ