บลจ.กรุงศรี ตั้งเป้า AUM ปีนี้ 3.3 แสนลบ.โต 22% แนะลงทุนตปท.กระจายเสี่ยง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 23, 2015 16:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้ที่ 3.3 แสนล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 22% จากสิ้นปี 57 ที่อยู่ระดับ 2.7 แสนล้านบาท โดยแผนการดำเนินงานในปีนี้จะมุ่งเน้นการขยายลูกค้าผ่านเครือข่ายสาขาธนาคารกรุงศรี 654 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังคงศึกษาและแสวงหาโอกาสและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าสามารถจัดสรรการลงทุนที่เหมาะสมกับทุกสภาวะการลงทุน และมุ่งมั่นรักษาคุณภาพของกระบวนการลงทุน และการบริหารจัดการกองทุนให้มีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ

ทั้งนี้ บริษัทฯมีแผนออกกองทุนเอฟไอเอฟ (FIF) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่จะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 2 กองทุน โดยมองประเทศจีนและอินเดีย แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งการที่ในปีนี้มีการออกกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศนั้นจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจภายในประเทศและมองว่าเศรษฐกิจในต่างประเทศมีการฟื้นตัวได้ดี

สำหรับการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ มองการลงทุนในตลาดตราสารทุนยังคงสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ และสภาพคล่องยังอยู่ในระดับสูง จากการอัดฉีดเม็ดเงินจากธนาคารกลางขนาดใหญ่ โดยภูมิภาคที่จะได้อานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินในขณะนี้ ได้แก่ ยุโรป และญี่ปุ่น โดยกองทุนแนะนำของ บลจ.กรุงศรี ได้แก่ กอง KF-HEUROPE และ กอง KF-HJAPAND

"ปี 58 เราตั้งเป้า AUM เติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท จากปีก่อน 2.7 แสนล้านบาท โดยจะมีการขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เน้นออกสินค้าใหม่ๆที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์การลงทุน อย่างไรก็ตามปีนี้บลจ.กรุงศรี ก็มีการออกกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 2 กอง จากปี 57 ออกทั้งหมด 6 กอง โดยเรายังมองตลาดที่สร้างผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอต่อนักลงทุน"นายฉัตรพี กล่าว

ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทในปีก่อน ถือว่าประสบความสำเร็จและมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 ของอุตสาหกรรม และทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารโดยรวมเติบโต 37% ซึ่งเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรมมีการเติบโต 20%

ภาพรวมของกองทุนหุ้น กองทุน LTF และกองทุนตราสารหนี้ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ ของบริษัท มีการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดด โดยกองทุนหุ้นมีอัตราการเติบโต 50% ในขณะที่อุตสาหกรรมมีการเติบโต 34% กองทุน LTF มีอัตราการเติบโต 51% ในขณะที่อุตสาหกรรมมีการเติบโต 27% กองทุนตราสารหนี้ มีอัตราการเติบโต 48% ในขณะที่อุตสาหกรรมมีการเติบโต 22% นอกจากนี้ บริษัทยังมีจำนวนบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่มสูงขึ้น 31% สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมอบให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.กรุงศรี กล่าวว่า มองเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ปีนี้ 1,300-1,700 จุด โดยหุ้นไทยจะแกว่งตัวประมาณ 300-400 จุด ซึ่งยังมีความผัวผวนที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัจจัยของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเองจะได้รับผลบวกจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ

สำหรับทิศทางการลงทุนในปีนี้ มองว่าการลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ยังสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ สภาพคล่องอยู่ในระดับสูงจากการอัดฉีดเม็ดเงินจากธนาคารขนาดใหญ่ โดยภูมิภาคที่ได้อานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายทางการเงินได้แก่ ยุโรป และญี่ปุ่น ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) คาดว่าจะมีการทยอยปรับขึ้น 3 ครั้ง ครั้งละ 1% ซึ่งจะไม่ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก

"เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในต่างประเทศ จากปัจจัยของราคาน้ำมันที่ปรับลดลง แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว เช่น ยุโรป ที่การเติบโตยังไม่ดีมากนัก เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐฯ หากจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง และจะทยอยปรับขึ้นมากกว่าจะมีการปรับอย่างรวดเร็ว โดยมองว่าเฟดจะมีการประชุมเพื่อปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน มิ.ย.-ส.ค.นี้ ซึ่งก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อว่าสหรัฐฯจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยด้วยเหตุผลอะไร โดยสหรัฐฯต้องเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของตนเองจะเติบโตอยู่ในระดับที่ดีได้ รวมถึงให้ติดตามถ้อยแถลงเฟดต่อไป"นายประภาส กล่าว

นอกจากนี้ มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 58 โดยล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการปรับลดอัตราการเติบโตของประเทศลงเหลือโต 3.8% จากเดิมคาดโต 4% มองว่าจากนี้จะมีการดำเนินการปรับลดลงอีก เป็นไปตามอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับธปท.ยังมี Room ที่จะลดดอกเบี้ยลงได้อีก ขณะที่การลงทุนภาครัฐ ถือว่าเป็นความหวังที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโต รวมถึงภาคท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันภาคการส่งออกยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวรับความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่เปลี่ยนไป โดยบลจ.กรุงศรี คาดว่ายอดการส่งออกจะขยายตัวในระดับต่ำมาก จากการย้ายฐานการผลิต และการถูกตัด GSP อีกทั้งการบริโภคภายในยังคงอ่อนแอ เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับต่ำ และหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ธนาคารต่างๆมีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ยังคงรอดูความชัดเจนจากภาครัฐ ในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้แรงกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่พอที่จะช่วยผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเร็วๆนี้

"เมื่อมองภาพรวมแล้ว บรรยากาศเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังคงดูไม่สดใจนัก เพราะปัจจัยขับเคลื่อนหลักทั้งการส่งออก และการอุปโภคบริโภคภายในอ่อนแอ ในขณะที่การลงทุนภาครัฐ ยังต้องรอระยะเวลาพอสมควรจึงเห็นผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามการลงทุนในปีนี้ แนะนักลงทุนยังไม่ต้องรีบร้อนลงทุนเพราะหุ้นไทยอัตราทำกำไรต่อหุ้น(P/E)อยู่ในระดับสูงถึง 21 เท่า โดยแนะนำกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง" นายประภาส กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ