(เพิ่มเติม) JWD คงแผนเข้าตลาดหุ้น Q3/58 วางงบลงทุน 667ลบ.ขยายธุรกิจใน-ตปท.ปี 58-59

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday August 5, 2015 16:55 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์(JWD)คงแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงไตรมาส 3/58 หลังจากเริ่มสำรวจความต้องการซื้อของนักลงทุน (book building)ในเดือนส.ค.นี้ เพื่อระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการขยายงานในต่างประเทศ

JWD เป็นผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจรในอาเซียน แบ่งเป็น 5 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจให้บริการรับฝากและบริหารสินค้าบนพื้นที่ทั่วไปและพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) 2. ธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าในประเทศและขนส่งสินค้าข้ามแดน 3.ธุรกิจให้บริการขนย้ายในประเทศและต่างประเทศ 4.ธุรกิจให้บริการรับฝากบริการจัดการเอกสารและข้อมูลอย่างครบวงจร 5.ธุรกิจอื่นๆได้แก่ธุรกิจให้เช่าอาคาร-คลังสินค้าและธุรกิจให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ

นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า บริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปลงทุนขยายคลังสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม (ปี 58-59) ทั้งสิ้น 667 ล้านบาท

สำหรับกิจการในประเทศนั้น บริษัทฯอยู่ระหว่างปรับปรุงพื้นที่คลังสินค้าภายในเขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังเพื่อเพิ่มการให้บริการที่มีความหลากหลายมากขึ้น ประกอบด้วยศูนย์เก็บและกระจายสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์ มีพื้นที่ 9,000 ตารางเมตร เพื่อรองรับการรวมสินค้าของผู้ส่งออกรายย่อยก่อนขนย้ายขึ้นเรือจะเริ่มให้บริการได้ในไตรมาส 1/59 และศูนย์กระจายสินค้าอันตรายในประเทศ พื้นที่ 6,000 ตารางเมตร รองรับการเก็บและกระจายสินค้าอันตรายให้กับรถขนส่งขนาดเล็กเพื่อจัดส่งไปยังจุดหมาย คาดเริ่มให้บริการในไตรมาส 2/59

ขณะที่ยังลงทุนโครงการซื้อเครนขาสูง (Rudder Tyred Gantry -RTG) เพื่อรองรับการจัดเรียงตู้คอนเทนเนอร์ที่คลังและลานสินค้าอันตรายให้ได้ 4-5 ชั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปีนี้ โดยจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการให้บริการโลจิสติกส์ภาคพื้นดินแก่ลูกค้าได้มากขึ้น ประกอบกับใช้ลงทุนซื้อหัวรถลากจำนวน 7 หัวลาก เพื่อรองรับงานที่เข้ามาเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันได้ซื้อหัวรถลากมาแล้ว 4 หัว

ส่วนกิจการต่างประเทศนั้น บริษัทฯมีแผนลงทุนขยายคลังสินค้าในประเทศพม่า ลาว และกัมพูชา อย่างต่อเนื่อง ทั้งคลังสินค้าทั่วไป ,คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็นแช่แข็ง และคลังสินค้าอันตราย รวมพื้นที่ทั้งหมด 6,490 ตารางเมตร คาดว่าจะก่อสร้างและแล้วเสร็จในไตรมาส 2/59 เพื่อรองรับธุรกิจด้านค้าปลีก ด้านอาหารในกลุ่มประเทศดังกล่าวที่กำลังขยายตัวได้ดี รวมถึงการเติบโตของนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ อีกด้วย โดยบริษัทฯตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปี 63 จะเพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปีนี้ที่อยู่ที่ 8-10%

นอกจากนั้น บริษัทฯยังจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงินราว 30-50% โดยปัจจุบันบริษัทฯมีมูลหนี้อยู่กว่า 1,000 ล้านบาท หลังจากชำระส่วนหนึ่งแล้วจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E)ลดลงเหลือต่ำกว่า 1 เท่า จากเดิมอยู่ที่ 2.7 เท่า

นายชวนินทร์ กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปี 57 ที่มีรายได้ 2,200 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจคลังสินค้า 75% ซึ่งเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง และรายได้ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโลจิสติกส์ที่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ประเทศไทยจะก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียนหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เชื่อว่าจะทำให้ผลการดำเนินงานในปีนี้และอนาคตจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน

ดังนั้น บริษัทฯยังตั้งเป้าในช่วง 3-5 ปีจากนี้รายได้ก็จะเติบโตมากขึ้น จากเดิมที่เติบโตเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังราว 17.4% และอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 38% ในปี 63 จากเดิมอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 35% เนื่องจากบริษัทฯมีการบริหารจัดการได้ดีขึ้น และสามารถเชิญชวนลูกค้าให้มาใช้บริการพื้นที่คลังสินค้าได้เพิ่มขึ้น หลังมีการขยายคลังสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพื้นที่คลังสินค้ารวมทั้งหมด 750,000 ตารางเมตร

นายชวนินทร์ กล่าวว่า นอกจากที่มีการขยายคลังสินค้า และให้บริการโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว บริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ซึ่งมองเป็นการลงทุนในอนาคต เพราะต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ