เซียนหุ้นแนะถือเงินสดเพิ่ม-กระจายลงทุนหุ้นผลประกอบการดีช่วงตลาดผันผวน

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 6, 2015 18:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ อุปนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย)กล่าวในงานสัมมนา"เซียนรุ่นใหญ่ ไขความลับลงทุน และเซียนรุ่นใหม่ การลงทุนคือธุรกิจ"ว่า การลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นอยู่ในลักษณะไซต์เวย์ ควรจะมีการจัดพอร์ตการลงทุน โดยให้ถือเงินสดมากขึ้นหรือประมาณ 20% ของพอร์ต และเลือกลงทุนในหุ้นที่มีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง พื้นฐานดี โดยพิจารณาจากการเติบโตของผลการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตราว 10-15% ถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุน เช่น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค อสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทางเลือก รวมถึงพิจารณานโยบายการจ่ายเงินปันผลที่มีอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในสภาวะแบบนี้ได้

ทั้งนี้ อย่าลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะอาจจะมีความเสี่ยงสูง โดยการลงทุนยังมีในส่วนของกองทุนต่างๆ ตราสารหนี้ หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามก็ยังมีหุ้นน้องใหม่ที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ประกอบกับหุ้นเทิร์นอะราวด์ ก็มีน่าสนใจไม่น้อย

สำหรับกรณีที่มีเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทย นพ.ประมุข แนะนำว่า การมีสติถือว่าสำคัญที่สุด และต้องทำการบ้านหนักขึ้นกว่าปกติ ซึ่งช่วงที่เหลือของปีนี้มองว่าสิ่งที่น่าจะเป็นปัจจัยลบก็คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกาลางสหรัฐ(เฟด)แม้ว่าจะมีการรับข่าวมาพอสมควรแล้ว แต่ก็อยากให้นักลงทุนอย่าตกใจเมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง อีกทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่ลงไปสู่ระดับผู้มีรายได้น้อย ก็อยากให้ระวังการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่จะตามมา

"ในสภาวะที่ตลาดซบเซา การลงทุนต้องเป็นการลงทุนระยะยาว และต้องมีการแบ่งพอร์ตการลงทุนส่วนหนึ่งมาถือเงินสดมากขึ้น ส่วนหุ้นที่จะลงทุนควรเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการน่าสนใจ มีความแข็งแกร่ง เติบโตดี หรือราว 15% ต่อปี และถ้ามีปันผลก็น่าจะล่อเลี้ยงการลงทุนต่อไปได้"นพ.ประมุข กล่าว

ขณะที่นายอนุรักษ์ บุญแสวง หรือ โจ ลูกอีสาน นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนระยะยาวในขณะนี้ยังสามารถลงทุนได้ แต่ต้องเน้นหุ้นรายตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า และเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปเกินมูลค่าก็ให้ขายออก โดยปัจจุบันถือเงินสดอยู่ที่ 10-20% และอีก 80-90% ลงทุนในตลาดหุ้น

"ในภาวะตลาดหุ้นแบบนี้ไม่ได้ง่าย แต่ก็ยังมีหนทางในการหาหุ้น ซึ่งผมก็มองหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าแล้วช้อนซื้อในช่วงราคาหุ้นลง และขายเมื่อราคาโดดขึ้น หรืออาจจะหาหุ้นที่มีราคาต่ำ และมีปันผล 5-6% ก็ยังมีอยู่ ซึ่งผมจะไม่มองภาพรวมตลาดว่าเป็นยังไง และไม่ได้มองเป็นกลุ่ม แต่เรามองหุ้นรายตัวที่มีผลประกอบการดี และให้ปันผลสูง เราก็มองว่าอีก 1-2 ปีตลาดถึงจะมาฟื้น เพราะต้องรอโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ ที่จะออกมา ช่วยเรียกความมั่นใจของผู้บริโภคออกมาจับจ่ายใช้สอย ก็จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวได้ดีอีกครั้ง" นายอนุรักษ์ กล่าว

นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ เสี่ยปู่ นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวจะเน้นการลงทุนในหุ้นรายตัว โดยมองจากการเติบโตของกำไรเป็นหลักที่จะต้องเติบโตไม่ต่ำกว่า 50% และมีระดับ P/E ไม่เกิน 20 เท่า ขณะที่ก็มีการลงทุนใน Warrant ที่มีพื้นฐานดี พอราคาปรับขึ้นไปในระดับหนึ่งก็จะมีการขายทำกำไรออกมา

ส่วนการจัดพอร์ตลงทุนยังคงมีการลงทุนเต็ม 100% และกันเงินสดส่วนหนึ่งเพื่อเข้าลงทุนในหุ้น IPO ซึ่งจะนำกำไรที่ได้มาเก็บไว้ เพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีกำไรเติบโตต่อไป

มองตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้โดยภาพรวมยังไม่ค่อยดี และ P/E หุ้นหลายๆตัวก็อยู่ในระดับสูง แนะนักลงทุนทยอยเข้าซื้อ โดยคำนึงถึงพื้นฐานของหุ้น แม้ราคาหุ้นอาจจะมีการปรับลดลงมาแต่หากพื้นฐานยังดีอยู่ และกำไรยังเติบโตได้ดีอยู่ เชื่อว่าราคาหุ้นจะสามารถสะท้อนพื้นฐานของหุ้นได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวชอบลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งในสภาวะที่ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าการท่องเที่ยวจะสามารถเติบโตได้ดี และการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าก็จะเป็นจุดดึงดูดการลงทุนของต่างชาติอีกด้วย

"ผมจะมองหุ้นที่มีกำไรเติบโตเร็ว และหุ้นที่ถืออยู่ก้เติบโตโดดเด่นมาก เชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วกำไรที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะสะท้อนพื้นฐานของหุ้นได้ แต่ส่วนใหญ่หุ้นที่เจริญเติบโตสูง มักจะเป็นหุ้นที่มีราคาแพง ซึ่งก็ค่อยๆทยอยเข้าซื้อตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม"นายสมพงษ์ กล่าว

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า(Value Investor)กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวจะดูจากผลประกอบการในอดีตย้อนหลังประมาณ 3-4 ปี และต้องมั่นใจว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มที่ดี แต่ถ้าหากธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีต่อเนื่อง ก็อาจจะทำให้ธุรกิจนั้นมีความยากลำบากตามไปด้วย ซึ่งก็จะเป็นโจทย์ที่ต้องมาพิจารณาว่าหุ้นตัวไหนที่ยังสามารถประคองตัวอยู่ได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่

ด้าน นพ.พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี นักลงทุน VI กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในช่วงขยายตัวได้ไม่มากไปอีกสักระยะ 2-3 ปี เนื่องจากภาคการส่งออกของประเทศยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับคู่ค้าสำคัญอย่างประเทศจีนที่เศรษฐกิจก็ชะลอตัว โดยไทยมีการส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนในสัดส่วนถึง 40% ซึ่งไทยจะต้องปรับเปลี่ยน หรือเพิ่มมูลค่าสินค้าให้เป็นไฮแวรู เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เติบโตไปให้ได้

สำหรับการลงทุนมองหุ้นที่มีผลประกอบการที่น่าจะพอไปได้ ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีมากนัก ขณะที่ส่วนตัวมองการลงทุนในหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าในอีก 3-5 ปี จากนี้น่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยรัฐบาลจะต้องหันมากระตุ้นในส่วนของภาคการท่องเที่ยว หลังการส่งออกไม่ได้ดี และธุรกิจสิ่งของจำเป็น ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงการรักษาพยาบาล ถ้าราคาไม่ได้อยู่ในระดับที่แพง ก็ถือว่ามีความน่าสนใจ

"เราควรอยู่ในธุรกิจที่พอไปได้ในภาวะเศรษฐกิจที่จะไม่ดีไปอีก 2-3 ปี โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความแข็งแกร่ง และมีประสิทธิภาพการแข่งขันสูง สามารถทนต่อภาวะในยามที่เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศเกิดการผันผวน" นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าว

แท็ก ตลาดหุ้น  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ