การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,307.25 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,280.74 จุด
ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 245 หลักทรัพย์ ลดลง 854 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 225 หลักทรัพย์
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงแรงตามตลาดในยุโรปที่ร่วงลง หลังจากบริษัทขนาดใหญ่ในยุโรปประกาศผลการดำเนินงานออกมาต่ำกว่าคาด โดยเฉพาะธนาคารโซซิเอเต เจเนอราล (ซอคเจน) และยังมีความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของกลุ่มแบงก์ด้วยจากปัญหาของ"ดอยซ์แบงก์"
นอกจากนี้ เงินเยนแข็งค่ามากจากผลการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ กดดันตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลง ส่วนเรื่องที่เกาหลีเหนือตัดสินใจปิดเขตนิคมอุตสาหกรรมแกซองที่ทำร่วมกับเกาหลีใต้ รวมทั้งยกเลิกการสื่อสารผ่านกองทัพ และช่องทางอื่น ๆ กับเกาหลีใต้ เป็นปัจจัยกดดันตลาดฯเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ของสหรัฐฯช่วงนี้ปรับตัวลง และมีการโยกเงินเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่เงินบาทก็แข็งค่าสวนทางเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่นักลงทุนควรจะระวัง เพราะหากเกิดวิกฤตในยุโรป เงินดอลลาร์สหรัฐฯจะพลิกกลับมาแข็งค่า พร้อมกับราคาทองคำจะสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้น ทำให้ค่าเงินในสกุลอื่น ๆ รวมถึงเงินบาทอ่อนค่า ดังนั้นช่วงนี้ต้องจับตาสถานการณ์ในยุโรปอย่างใกล้ชิด แต่ในช่วง 1-2 วันนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯคงจะยังคงแข็งค่า
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (12 ก.พ.) นายศราวุธ กล่าวว่า ต้องจับตาตลาดสหรัฐและยุโรปหากปิดตลาดปรับลงไม่มาก ก็มีโอกาสที่ตลาดบ้านเราจะดีดกลับ พร้อมให้แนวรับ 1,275 จุด ส่วนแนวต้าน 1,300 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,827.55 ล้านบาท ปิดที่ 168.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,818.73 ล้านบาท ปิดที่ 228.00 บาท ลดลง 8.00 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,801.11 ล้านบาท ปิดที่ 163.50 บาท ลดลง 3.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,513.09 ล้านบาท ปิดที่ 129.00 บาท ลดลง 3.00 บาท
INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,219.39 ล้านบาท ปิดที่ 55.00 บาท ลดลง 0.25 บาท