(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ผันผวน-น้ำหนักไปทางลง เล็งกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯกดดันจากผล Brexit,ราคาน้ำมันลง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 27, 2016 09:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน ให้น้ำหนักไปทางแกว่งตัวในแดนลบแต่คงไม่แรง โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศจะกดดัน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากมีน้ำหนัก 20% ของมูลค่าตลาดโดยรวม คาดว่าจะปรับตัวลงต่อ และราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงด้วย นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มส่งออก และกลุ่มท่องเที่ยวก็คงจะได้รับผลกระทบจากผล Brexit ที่อังกฤษลงประชามติออกจากการเป็นสมาชิกในสหภาพยุโรป (อียู)

ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ มองว่านักลงทุนคงยังปรับพอร์ตอยู่ โดยมีการโยกการลงทุนจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ที่ปลอดภัย แต่คาดว่าคงจะไม่นานคงเป็นแค่ชั่วคราว เพราะมีความคาดหวังว่าทางธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะออกมาตรการมาทำให้เงินเยนอ่อนค่า

พร้อมให้แนวรับ 1,395 จุด ส่วนแนวต้าน 1,420 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 มิ.ย.59) ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 17,400.75 จุด ร่วงลง 610.32 จุด (-3.39%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,707.98 จุด ลดลง 202.06 จุด (-4.12%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,037.41 จุด ลดลง 75.91 จุด (-3.59%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ เพิ่มขึ้น 201.06 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ ลดลง 13.73 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ ลดลง 276.47 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ ลดลง 70.70 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ ลดลง 23.39 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ ลดลง 13.23 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ ลดลง 6.36 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 มิ.ย.59) 1,413.19 จุด ลดลง 23.21 จุด (-1.62%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 784.90 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.59
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 มิ.ย.59) ปิดที่ 47.64 ดอลลาร์/
บาร์เรล ร่วงลง 2.47 ดอลลาร์ หรือ 4.9%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 มิ.ย.59) ที่ 4.93 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 35.37/38 แนวโน้มยังอ่อนค่าจากกรณี Brexit มองกรอบวันนี้ 35.30-35.52
  • สภาองค์การนายจ้างชี้ธุรกิจครึ่งหลังรัดเข็มขัดหลังสัญญาณไม่ดีจาก ศก.จีนชะลอ-BREXIT ขณะที่ในประเทศแรงซื้อไม่กระเตื้องจากหนี้ครัวเรือนสูง ก.แรงงานสั่งเกาะติดเหตุไตรมาส 1 เลิกจ้างเพิ่ม 30.85%
  • รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เผยผลกระทบเบื้องต้นจากการที่สหราชอาณาจักร (ยูเค) นำโดยอังกฤษ ลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต คาดผลจากค่าเงินปอนด์ของอังกฤษที่อ่อนค่าลง มีผลต่อการส่งออกกลุ่มอาหารไทยไปอังกฤษ ที่ปริมาณจะลด 10% แต่ยังไม่น่ากังวลมาก เพราะต้องใช้เวลากว่า 2 ปี การทำขั้นตอนถึงจะเสร็จ
  • ผู้ว่าการ ธปท.ห่วงอังกฤษออกจากยุโรปกระทบการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกเปราะบางมากขึ้น ส่วนไทยได้รับผลกระทบระยะสั้นผ่านตลาดเงิน-ตลาดทุนพบเงินไหลออกตลาดหุ้นและบอนด์ของไทยบ้าง แต่ไม่รุนแรง ส่วนช่องทางการค้าและเชื่อมโยงสถาบันการเงินผลกระทบจำกัด
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ภัยแล้งหนักสุดในรอบ 20 ปี เมื่อวัดจากปริมาณน้ำ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว โดยเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2559 ก็เริ่มมีสัญญาณบวกให้เห็น ทั้งปริมาณน้ำฝนสะสมที่ตกมากกว่าปีก่อน ส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ลุ้นคลังดันยกเครื่องร่าง พ.ร.บ.สลากฯ ใหม่ ให้ ครม.พิจารณาภายในกันยายนนี้ เปิดช่องออกหวยออนไลน์เพิ่มรายได้ สั่งเพิ่มโทษผู้ค้าขายเกินราคา 80 บาท พร้อมคลอดใบอนุญาตขายลอตเตอรี่อย่างเป็นทางการ
  • อาเซียนชงเปิดตลาดสินค้ากรอบการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เสนอ ลดภาษีทันที 92% ของรายการทั้งหมด ส่วนภาคบริการลงทุน ได้กำหนดกรอบเปิดเสรีแล้ว เตรียมรายงานรัฐมนตรี RCEP เคาะประเด็นติดขัด 5 ส.ค.นี้

*หุ้นเด่นวันนี้

  • หุ้นกลุ่มรับเหมาฯ (ITD, UNIQ, CK, STEC, SEAFCO, PYLON) และวัสดุฯ (SCC, TASCO) ยังคงประเมินภาครัฐฯจะทยอยประมูลงาน เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม (ขายซองต้นเดือน ก.ค.นี้) และประเมินหุ้นกลุ่มรับเหมาฯ จะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศ (เคจีไอ)
  • KCE (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 93.6 บาท ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงหลังจากอังกฤษถอนตัวจาก EU ส่งผลให้เงิน EUR อ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ประเมินผลกระทบกรณีเลวร้ายสุดที่รายได้สัดส่วน 60% จากยุโรปอยู่ในรูปสกุลเงิน EUR จะคิดเป็นผลกระทบต่อ EPS ที่ 0.226 หรือเท่ากับมูลค่าหุ้นประมาณ 4.47 บาท (อิง P/E ที่ 16.8 เท่า) ซึ่งราคาหุ้นเมื่อวันศุกร์ได้ปรับตัวลงมาเท่ากับระดับดังกล่าวแล้ว ในส่วนของกรณีฐานคำนวณผลกระทบต่อมูลค่าหุ้นเพียงแค่ 1 บาท เนื่องจากรายได้จากยุโรปส่วนหนึ่งอยู่ในรูปของสกุลเงิน USD และบริษัทได้มีการทำ Hedging ค่าเงินไว้แล้วส่วนหนึ่ง
  • ARROW (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 16.70 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลง 13% ตั้งแต่ต้นเม.ย. จากความกังวลเรื่องราคาเหล็กที่ปรับสูงขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ARROW แทบไม่กระทบเพราะสต็อกวัตถุดิบล่วงหน้ากว่า 6 เดือน และสามารถปรับราคาขึ้นได้ระดับหนึ่ง ขณะที่ความต้องการท่ออ่อนของกลุ่มสื่อสารยังเต็มกำลังการผลิต และท่อร้อยสายไฟส่งสัญญาณฟื้นตัวเร็วจนยอดพุ่งสูงสุดในรอบ 6 เดือน ทำให้ 2Q59 ที่ปกติเป็น Low season อาจลดลงเพียง 3-5% Q-Q แต่โต 15-17% Y-Y แนวโน้ม 2H59 จะยิ่งดีเพราะบริษัทลูกมี backlog กว่า 250 ล้านบาท กำไรปีนี้ที่คาด +8% Y-Y มีโอกาสต่ำไป ราคาปัจจุบันคิดเป็น PE เพียง 13 เท่า และคาด Dividend yield 5% ต่อปี
  • TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6 บาท คาดกำไร 2Q59 +17% Y-Y, +13% Q-Q เพราะ high season และได้เป็น Supplier เครื่องดื่มเย็นทั้ง 4 โถกดในร้าน 7-11 ส่วนเครื่องกดเครื่องดื่มอัตโนมัติแบบร้อนติดตั้งแล้ว 138 เครื่องจนถึงสิ้น พ.ค. คาดสิ้นปีนี้ติดได้ 750 เครื่อง ใน 2H59 จะมีรายได้เพิ่มจากการขายเครื่องเขียน เครื่องสำอาง สินค้าที่ไม่ใช่อาหารเป็นต้น โดยใช้ตัวการ์ตูน 5 ลายของ Sanrio ประเด็นภาษีเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลที่กระทรวงการคลังจะสรุปสิ้นเดือนนี้ กระทบ TACC ไม่ถึง 1% ของยอดขาย
  • MCS (ยูโอบี เคย์เฮียน) กลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในประเทศญี่ปุ่นจึงได้รับผลประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินเยนที่อยู่ที่ 0.35 บาท/เยน เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนที่ 0.28 บาท/เยน โดยปัจจุบันมี backlog ประมาณ 200,000 ตัน ทยอยรับรู้เป็นเวลา 4 ปี นอกจากนี้ MCS เพิ่งลงทุนติดตั้งเครื่องจักรอัตโนมัติ คาดว่าจะทำให้บริษัทฯมีกำไรเพิ่มปีละประมาณ 150 ล้านบาท (ทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2H60) ทั้งนี้ MCS ซื้อขายที่ PE ปี59 เพียง 8 เท่า และคาดอัตราปันผลที่ประมาณ 6%

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ