โบรกฯแนะ"ซื้อ"หุ้น SCC มองกำไร Q2/59 ยังแกร่ง,โครงการภาครัฐ-ปิโตรฯหนุนผลงานต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 15, 2016 14:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หลังมองกำไรในไตรมาส 2/59 ที่บริษัทจะรายงานในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ยังคงมีความแข็งแกร่งจากธุรกิจปิโตรเคมีที่ดี อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงครึ่งปีหลังส่วนต่าง(สเปรด) ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจะอ่อนตัวลงบ้าง แต่ก็นับว่ายังอยู่ในระดับสูงตามวัฏจักรของธุรกิจปิโตรเคมีที่คาดว่าจะดีต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี ประกอบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะทยอยออกมาต่อเนื่องจะช่วยหนุนยอดการใช้ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของบริษัทให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กลยุทธ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานในกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง และขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added:HVA) พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่าง ๆ เพื่อลดต้นทุนการผลิตจะทำให้ SCC แข็งแกร่งและเติบโตได้อย่างมั่นคง

ราคาหุ้น SCC เช้านี้ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 490 บาท นับตั้งแต่ต้นปีราคาหุ้นปรับขึ้นเพียง 6.5% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นราว 16%

         โบรกเกอร์                คำแนะนำ              ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
         เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ          ซื้อ                   580
         ทรีนีตี้                    ซื้อ                   560
         เคจีไอฯ                  ซื้อ                   620
         ธนชาต                   ซื้อ                   580
         เคทีบีฯ                   ซื้อ                   562
         บัวหลวง                  ซื้อ                   580
         ทิสโก้                    ซื้อ                   570

บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์โดยคาดว่า SCC จะรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/59 ที่ระดับ 1.41 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 3% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นราว 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากธุรกิจปิโตรเคมีที่เติบโตต่อเนื่อง จากสเปรดของผลิตภัณฑ์ HDPE-วัตถุดิบแนฟทา ที่ทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนที่ 743 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่สเปรดผลิตภัณฑ์ PP-แนฟทา เพิ่มขึ้นถึง 91 เหรียญสหรัฐ/ตันจากไตรมาสก่อน มาที่ 680 เหรียญสหรัฐ/ตัน นอกจากนี้คาดว่าจะมีการบันทึกกำไรจากราคาน้ำมันดิบ และเอทิลีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 2 เข้ามาหนุนเพิ่มเติม ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในธุรกิจปิโตรเคมีที่น่าจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่องด้วย

ส่วนธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และปูนซีเมนต์คาดว่าจะทรงตัวในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน แม้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในส่วนของที่ไม่ใช่ภาครัฐบาลยังคงไม่ฟื้นตัว แต่มีมาตรการตำบลละ 5 ล้านบาทของภาครัฐซึ่งสิ้นสุดในเดือนพ.ค. และการเปิดโรงปูนแห่งใหม่เข้ามาช่วยหนุนรายได้

ทรีนีตี้ แนะ"ซื้อ"หุ้น SCC พร้อมปรับขึ้นราคาเป้าหมายเป็น 560 บาท จากคาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเริ่มชัดเจนขึ้นในไตรมาส 4/59 ขณะที่การมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 45% จะหนุนให้ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และปูนซีเมนต์ที่ชะลอตัวในปัจจุบันกลับมาเติบโตหนุนผลการดำเนินงานไปพร้อม ๆ กับธุรกิจปิโตรเคมี รวมถึงการมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานในกลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง และขยายกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในภูมิภาค รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ HVA และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดต้นทุนในการผลิต จะช่วยหนุนให้บริษัทแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมั่นคง

นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางการลงทุนสำหรับหุ้น SCC ยังมีแนวโน้มที่ดีโดยมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีสเปรดผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี เพราะการลงทุนโครงการปิโตรเคมีใหม่ ๆ มีแนวโน้มจะถูกเลื่อนออกไปหลังมีกรณีที่อังกฤษลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่ได้ฟื้นตัวดีมากนัก ทำให้การลงทุนในโครงการปิโตรเคมีทั่วโลกอาจต้องพิจารณาทบทวนใหม่อีกครั้ง

นอกจากนี้ SCC ยังจะได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะทยอยออกมา ก็จะช่วยสนับสนุนธุรกิจซีเมนต์ และวัสดุก่อสร้างให้ขยายตัวตามมาด้วย โดยปีนี้คาดว่าความต้องการใช้ซีเมนต์จะเติบโตราว 3-5% ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกเติบโตราว 5% แต่ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 น่าจะชะลอตัวลงตามฤดูกาล ก่อนจะฟื้นขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4 และเชื่อว่าจะขยายตัวได้ดีในปีหน้าที่การก่อสร้างขนาดใหญ่จะเริ่มใช้ซีเมนต์มากขึ้นด้วย

ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้ SCC จะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 หมื่นล้านบาท จากระดับ 4.3 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ซึ่งได้ปัจจัยหนุนจากสเปรดปิโตรเคมีที่ดี ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างฟื้นตัวตามการลงทุนของประเทศ ส่วนธุรกิจกระดาษยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว

ขณะที่ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยมองว่าปัจจุบันแม้สเปรดราคาผลิตภัณฑ์ทั้ง HDPE-แนฟทา และ PP-แนฟทา จะอ่อนตัวลง โดยนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 3/59 จนถึงปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 735 เหรียญสหรัฐ/ตัน และ 643 เหรียญสหรัฐ/ตันตามลำดับ แต่ก็เป็นผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาแนฟทาตามราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว โดยปัจจุบันสเปรด HDPE อยู่ที่ 761 เหรียญสหรัฐ/ตัน และ PP อยู่ที่ 666 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้คาดว่าสเปรดราคาผลิตภัณฑ์ที่ต่ำลงจะยังไม่ทำให้กำไรของ SCC ในไตรมาส 3/59 หดตัวลงจากฐานที่ต่ำในปีก่อนได้

ขณะที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่แม้จะอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยทั้งปี แต่ก็ยังสูงกว่าสมมติฐานที่ประมาณการไว้มาก อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ากังวลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้สำหรับ SCC อาจเป็นธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่จะมีโรงปูนใหม่ในเมียนมา ที่จะเปิดดำเนินการในไตรมาส 3/59 ซึ่งช่วงแรกอาจจะยังไม่สามารถใช้เครื่องจักรอย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ต้องรับค่าเสื่อมราคาของโรงปูนที่เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้เพียงบางส่วนมาชดเชยเท่านั้น

ด้าน บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ โดยแนะ"ซื้อ"หุ้น SCC เนื่องจากเป็น Laggard Play ที่น่าสนใจ โดยราคาหุ้นนับตั้งแต่ต้นปีนี้ปรับขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับ SET ทั้งๆ ที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 ออกมาดีกว่าคาด และทำจุดสูงสุดใหม่สำหรับกำไรรายไตรมาส แม้ธุรกิจปูนซีเมนต์ถูกกดดันจากราคาปูนที่อ่อนแอ แต่ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่แข็งแกร่งหนุนกำไรเติบโต 11% ในปีนี้ ทำให้คาดว่ากำไรทั้งปี 59 จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังมองว่าการลงทุนธุรกิจปิโตรเคมีในอินโดนีเซีย ผ่านทาง Chandra Asri ก็ยังเติบโตแข็งแกร่งด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ