TU ทุ่มงบ 3.2 พันลบ.ทำ 11 โครงการพัฒนาการประมง หวังเพิ่มปริมาณปลาทูน่าในระบบอุปทานโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday December 13, 2016 15:45 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) กล่าวว่า บริษัทประกาศกลยุทธ์ที่มีความท้าทาย ตั้งเป้าวัตถุดิบปลาทูน่า 100% ที่ใช้ในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท จะมาจากการประมงที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานสินค้าประมง (Marine Stewardship Council : MSC) หรือมาจาก Fishery Improvement Projects หรือ FIP (โครงการพัฒนาการประมง) ซึ่งจะพัฒนาขึ้นสู่การได้รับการรับรองตามมาตรฐาน MSC โดยบริษัทมีเป้าหมายมุ่งมั่นต้องทำให้ได้อย่างน้อย 75% ภายในปี 2563

สำหรับกลยุทธ์ใหม่ด้านปลาทูน่านี้ บริษัทจะลงทุนมูลค่า 90 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.2 พันล้านบาท ในช่วงเริ่มต้น เพื่อเพิ่มปริมาณปลาทูน่าอย่างยั่งยืนในระบบอุปทานโลก โดยการตั้งโครงการพัฒนาการประมง 11 โครงการทั่วโลก โดยจะเป็นโครงการเปลี่ยนรูปแบบการประมง เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีจำนวนปลาสมบูรณ์สืบทอดไปถึงอนาคตในระยะยาว รวมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาการจัดการการประมงอย่างมีประสิทธิภาพ

"ปลาทูน่าเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพของผู้บริโภคหลายล้านคนทั่วโลก และมีคนอย่างน้อยพันล้านคนที่ต้องการโภชนาการจากอาหารทะเล หรือได้รับการจ้างงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ในฐานะที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเล ไทยยูเนี่ยนมีความรับผิดชอบต่อการปกป้องจำนวนปลาทูน่าเพื่อประโยชน์ของโลกซึ่งการลงทุนอย่างมีสาระสำคัญของเราจะช่วยเปลี่ยนรูปแบบการจัดหาปลาทูน่าให้กับทั้งอุตสาหกรรม และเป็นการแสดงถึงพันธกิจอันมุ่งมั่นของเราเพื่อความยั่งยืนของท้องทะเลของเรา"นายธีรพงศ์ กล่าว

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ในบริบทของไทยยูเนี่ยน ปลาทูน่าที่ได้รับการจัดหามาด้วยวิธีการเพื่อความอย่างยั่งยืน หมายถึง ปลาทูน่าที่มาจากการประมงที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐาน MSC หรือมาจาก FIP (โครงการพัฒนาการประมง) ซึ่งจะยกระดับให้ได้ตามมาตรฐาน MSC ในอนาคต มาตรฐาน MSC เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ว่าเป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดของความยั่งยืนด้านอาหารทะเล

นายแดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มการพัฒนาที่ยั่งยืน ของ TU กล่าวว่า ปัจจุบันมีการประมงเพียง 11 แห่งทั่วโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน MSC โดยเป็นแหล่งอุปทานเพียง 14% ของปลาทูน่าที่จับขึ้นฝั่งทั่วโลก พันธกิจและกลยุทธ์ของบริษัทจะส่งผลเชิงสร้างสรรค์ต่อทั้งอุตสาหกรรม โดยจะเพิ่มปริมาณปลาทูน่าที่ได้รับการจัดหาด้วยวิธีการเพื่อความยั่งยืนอย่างมีนัยสำคัญให้มีปริมาณเพียงพอต่อผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และผู้บริโภค

บริษัท ไทยยูเนี่ยน จะรายงานความก้าวหน้าที่มีต่อพันธกิจทูน่าทั่วโลกนี้อย่างสม่ำเสมอ โดยได้จัดทำเว็บไซต์ http://seachangesustainability.org เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับพันธกิจทูน่าทั่วโลกของบริษัท รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ SeaChange ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนที่ครอบคลุมรายละเอียดมากขึ้น

พันธกิจด้านปลาทูน่าใหม่ของไทยยูเนี่ยน จะมีผลใช้กับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทูน่าของบริษัททั้งหมดทั่วโลก ซึ่งรวมไปถึงแบรนด์ ชิคเก้นออฟเดอะซี (อเมริกาเหนือ), จีโนวา (อเมริกาเหนือ), จอห์น เวสต์ (ยุโรปเหนือและตะวันออกกลาง), มาเรบลู (อิตาลี), เปอติ นาวีร์ (ฝรั่งเศส) และซีเล็ค (ประเทศไทย) โดยผลิตภัณฑ์แต่ละแบรนด์ดังที่ได้กล่าวมานี้จะรายงานต่อสาธารณะถึงความก้าวหน้าที่มีต่อพันธกิจปี 2563 นี้อย่างสม่ำเสมอ

นอกเหนือจากการลงทุนในโครงการพัฒนาการประมงใหม่นี้ ไทยยูเนี่ยนได้พัฒนาโครงการริเริ่มอื่น ๆ มากมาย โดยบริษัทเชื่อว่าความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบเป็นแกนหลักสำคัญในการนำไปสู่ความยั่งยืน และบริษัทกำลังลงทุนในการทดลองใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอลใหม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสในระบบห่วงโซ่อุปทาน ในการใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบนี้ บริษัทจะสามารถตรวจสอบการจับปลาที่ผิดกฎหมาย ไร้การควบคุม และขาดการรายงาน ผ่านการติดตามข้อมูลบนระบบ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจว่าเรือประมงปฏิบัติตามกฎระเบียบทั้งหมด และติดตามมาตรฐานด้านแรงงานที่มีการกำหนดใช้ตลอดทั้งระบบห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้ล้วนช่วยเสริมมาตรการที่มีการดำเนินการอยู่แล้วอย่างแข็งขัน เพื่อช่วยให้มั่นใจว่าแรงงานที่เข้ามาทำงานในอุตสาหกรรมนี้มีความปลอดภัยและมีการจ้างงานอย่างถูกกฎหมาย

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนให้คำมั่นว่าจะจัดหาวัตถุดิบจากเรืออวนขนาดใหญ่เท่านั้น โดยต้องเป็นเรือที่ขึ้นทะเบียนอยู่ใน ProActive Vessel Register ไทยยูเนี่ยนจะใช้นโยบายด้านปลาทูน่าให้สอดคล้องกันทั่วโลก และจะส่งเสริมงานวิจัยทั้งทางวิชาการและทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการจำนวนปลาอย่างมีประสิทธิภาพ มูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) จะดำเนินการตรวจสอบประจำทุกปี เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ประกอบการคู่ค้าทั้งหมดปฏิบัติตามคำแนะนำของมูลนิธิฯ เป็นการช่วยปรับปรุงงานด้านสิ่งแวดล้อม, ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ และการเฝ้าสังเกตการประมงปลาทูน่าในน่านน้ำนานาชาติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ