ทริสฯ ลดอันดับเครดิตองค์กร TTA เป็น“BBB"จาก“BBB+"-หุ้นกู้เป็น“BBB-"จาก“BBB"แนวโน้ม“Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 29, 2016 14:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ (TTA) เป็นระดับ “BBB" จากเดิมที่ระดับ “BBB+" และปรับลดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเป็นระดับ “BBB-" จากเดิมที่ระดับ “BBB" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้มีระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้น เนื่องจากอัตราส่วนหนี้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 20% อันเนื่องมาจากแผนปรับปรุงโครงสร้างเรือของบริษัท

การปรับลดอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลกำไรของบริษัทที่ด้อยลงอย่างต่อเนื่องและความคาดหมายว่าธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งจะยังคงอ่อนแอเป็นระยะเวลานาน แม้ว่าอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจะลดลงจากอัตราการยกเลิกเรือสั่งใหม่และการปลดระวางเรือเก่าที่เพิ่มขึ้น แต่อุปทานกองเรือใหม่ ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากแผนการส่งมอบเรือบางส่วนถูกเลื่อนไปเป็นปี 2560 และปีหลังจากนั้น ดังนั้น ในมุมมองของ ทริสเรทติ้งจึงเห็นว่าภาวะอุปทานส่วนเกินน่าจะยังคงดำรงอยู่ต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้ค่าระวางเรือยังคงอยู่ในระดับต่ำในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง

ในขณะเดียวกัน ภาวะซบเซาของธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งก็อาจจะกินระยะเวลายาวนานกว่าที่คาด ความไม่แน่นอนของราคาน้ำมันและระยะเวลาที่ตลาดจะฟื้นตัวทำให้ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซทั้งหลายยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและพยายามหาโอกาสในการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ภาวะอุปทานส่วนเกินของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลและเรือขุดเจาะจะยิ่งทำให้สภาพแวดล้อมของธุรกิจอ่อนแอลง ซึ่งจะทำให้การหาสัญญาจ้างงานใหม่ ๆ ของบริษัทมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น

จากแนวโน้มที่ไม่เอื้ออำนวยในธุรกิจหลักทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว จึงคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อไป อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่า งบการเงินที่เข้มแข็งและสภาพคล่องที่เพียงพอจะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้บริษัทผ่านพ้นช่วงวิกฤตขาลงนี้ไปได้

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงการมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพียงพอในธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่ง ตลอดจนความหลากหลายของธุรกิจ และงบการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้นของบริษัทหลังจากการเพิ่มทุน ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความเสี่ยงตามลักษณะของธุรกิจและประวัติในการซื้อกิจการใหม่ ๆ ที่ค่อนข้างจำกัดของบริษัท

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่า ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองและธุรกิจบริการนอกชายฝั่งจะสามารถยืนหยัดผ่านพ้นช่วงขาลงของอุตสาหกรรมไปได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอและยังคงสนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัทเพื่อให้อยู่รอดจนถึงวงจรขาขึ้นอีกครั้ง

โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทค่อนข้างจำกัดจากมุมมองต่ออนาคตของอุตสาหกรรมเรือขนส่งสินค้าและการให้บริการนอกชายฝั่งที่ยังคงอ่อนแอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทดีกว่าที่ประมาณการไว้เป็นระยะเวลานาน

อันดับเครดิตของบริษัทหรือแนวโน้มอาจได้รับการปรับลดลงหากผลประกอบการของบริษัทหรือกระแสเงินสดถดถอยลงจากประมาณการอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ เหตุดังกล่าวอาจเกิดได้จากภาวะอุตสาหกรรมของเรือขนส่งสินค้าและการให้บริการนอกชายฝั่งที่อ่อนแอเป็นระยะเวลานาน อาทิ อัตราค่าจ้างเรือที่ต่ำกว่าที่คาดหรืออัตราการใช้งานที่ลดต่ำลง

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสาระในสัญญาอย่างมีนัยสำคัญ เช่น สัญญาที่มีกับ Saudi Aramco ก็อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออันดับเครดิตในเชิงลบได้เช่นกัน

บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ เป็นบริษัทลงทุนในธุรกิจหลัก 4 ประเภท ได้แก่ ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ธุรกิจให้บริการวิศวกรรมใต้ทะเลและขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่ง ธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยในประเทศเวียดนาม และธุรกิจซื้อขายถ่านหิน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งสร้างผลกำไรคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50%-70% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ทั้งหมดของบริษัท ในขณะที่ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าสร้างกำไรคิดเป็นสัดส่วน 25%-40% โดยส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจค้าปุ๋ยและลงทุนต่าง ๆ รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ประมาณ 10,100 ล้านบาท ลดลง 38.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมี EBITDA อยู่ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท ลดลง 31.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ธุรกิจเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองปัจจุบันอยู่ในช่วงการปรับปรุงโครงสร้างของกองเรือ บริษัทได้ขายเรือ Handymax ทั้งหมด 4 ลำในปี 2559 และกำลังอยู่ในช่วงการหาเรือที่ทันสมัยและมีขนาดใหญ่กว่ามาทดแทน ณ เดือนพฤศจิกายน 2559 บริษัทมีเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองโดยเฉลี่ยจำนวน 28 ลำ ในจำนวนนี้ 20 ลำเป็นเรือที่บริษัทเป็นเจ้าของและมีอีก 8 ลำโดยเฉลี่ยเป็นเรือที่บริษัทเช่าใช้งาน จากภาวะอุปทานส่วนเกินของอุตสาหกรรม อัตราค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยนั้นยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เท่ากับ 4,737 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน เปรียบเทียบกับต้นทุนที่เป็นเงินสดเท่ากับประมาณ 4,966 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผลประกอบการในช่วงดังกล่าวยังคงอ่อนแอ แต่อัตราค่าระวางเรือโดยเฉลี่ยรายไตรมาสก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาสแรกของปี 2559 ไปแล้ว

ธุรกิจให้บริการนอกชายฝั่งของบริษัทนั้นดำเนินการโดย บมจ. เมอร์เมด มาริไทม์ โดย ณ เดือนกันยายน 2559 บริษัทถือหุ้นในบริษัทเมอร์เมด มาริไทม์ คิดเป็นสัดส่วน 58.2% บริษัทเมอร์เมด มาริไทม์ เป็นเจ้าของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลจำนวน 7 ลำและเรือขุดเจาะแบบท้องแบน (Tender) จำนวน 2 ลำ เรือวิศวกรรมใต้ทะเล 3 ลำซึ่งไม่ใช่เรือหลักนั้นจอดรอเพื่อเข้ารับการบำรุงรักษา (Cold Stacked) ในขณะที่เรือขุดเจาะทั้ง 2 ลำยังไม่มีสัญญาจ้างงาน อัตราค่าจ้างของเรือวิศวกรรมใต้ทะเลที่ปฏิบัติงานอยู่นั้นถูกปรับลดลงตามราคาน้ำมันที่อ่อนตัว

นอกจากนี้ บริษัท เอเชีย ออฟชอร์ ดริลลิ่งค์ จำกัด (AOD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเมอร์เมด มาริไทม์ ยังมีเรือขุดเจาะชนิด 3 ขา (Jack-up) จำนวน 3 ลำซึ่งดำเนินงานภายใต้สัญญาจ้างงานกับ Saudi Aramco Oil Company (Saudi Aramco) ด้วย เรือขุดเจาะ Jack-Up 2 ลำได้รับการขยายเวลาในสัญญาจ้างเพิ่มอีก 2 ปี โดยสัญญาจะสิ้นสุดในช่วงกลางปี 2562 ในขณะที่เรือขุดเจาะลำที่ 3 นั้นกำลังอยู่ในช่วงเจรจาต่อสัญญาและคาดว่าจะได้รับการขยายเวลาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม อัตราค่าจ้างเรือตามสัญญาใหม่นั้นมีการปรับลดลงอย่างมาก

บริษัทเพิ่งยกเลิกคำสั่งซื้อเรือวิศวกรรมใต้ทะเล (Mermaid Ausana) จำนวน 1 ลำในเดือนธันวาคม 2559 และยังคงเหลือเรือขุดเจาะแบบ Tender ลำใหม่จำนวน 2 ลำซึ่งรอคอยการส่งมอบอยู่ อย่างไรก็ตาม การส่งมอบเรือเหล่านี้คาดว่าจะถูกเลื่อนออกไปหรืออาจจะต้องยกเลิกในท้ายที่สุด ในกรณีที่บริษัทเมอร์เมด มาริไทม์ ยกเลิกคำสั่งซื้อเรือนั้นจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการของบริษัท เนื่องจากบริษัทได้ทำการบันทึกด้อยค่าเงินมัดจำและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการสั่งซื้อเรือขุดเจาะและเรือวิศวกรรมใต้ทะเลไว้แล้วในงบการเงินปี 2558

จากผลประกอบการของบริษัทที่ยังอ่อนแอและผันผวน คาดว่าบริษัทจะบริหารต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุมและขยายไปสู่ธุรกิจที่มีความผันผวนน้อยกว่าอย่างระมัดระวัง ตามกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทนั้น บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะสร้างสัดส่วน 50% ของ EBITDA ให้มาจากธุรกิจที่มีความผันผวนต่ำ งบการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตที่ระดับ “BBB" เงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นของบริษัทมูลค่ารวม 12,000 ล้านบาทจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทในอีก 12 เดือนได้ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะสร้างเงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาทต่อปีในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

บริษัทมีแผนจะซื้อเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองจำนวน 4 ลำในระหว่างปี 2560-2561 เพื่อจะปรับปรุงโครงสร้างกองเรือให้ดีขึ้น ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนสำหรับเรือลำใหม่และค่าบำรุงรักษาต่าง ๆ ของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมค่าใช้จ่ายที่อาจจะเพิ่มขึ้นหากบริษัทเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจจะรับมอบเรือขุดเจาะชนิด Tender อัตราส่วน EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะอยู่สูงกว่า 10% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ