โกลเบล็ก มองกรอบ SET Index ปี 60 ที่ 1,320-1,750 จุด รับผลเฟดขึ้นดอกเบี้ยแต่โครงการรัฐเดินหน้าหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday January 4, 2017 11:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. โกลเบล็ก (GBS) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 60 ว่า มีแนวโน้มผันผวนมากกว่าปี 59 ที่ผ่านมา จากกระแสคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2-3 ครั้งซึ่งส่งผลกระทบต่อเงินทุนจากต่างประเทศ (fund flow) และความไม่แน่นอนของการออกจากสมาชิกภาพสหภาพยุโรปของอังกฤษ (BREXIT) ขณะที่มีปัจจัยบวกหนุนจากการโครงการขนาดใหญ่เดินหน้าต่อทั้ง Action Plan ด้านคมนาคมขนส่ง 36 โครงการวงเงิน 8.9 แสนล้านบาท โดยคาดจะเห็นการเริ่มประมูลและเซ็นสัญญาในช่วงครึ่งปีแรก 60 และลงมือก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลัง

อีกทั้งธนาคารกลางของแต่ละประเทศส่วนใหญ่ยังใช้นโยบายการเงินแบบขยายตัว โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต่ออายุมาตรการ QE ออกไปอีก 9 เดือน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเป็นผลดีต่อการส่งออกที่มีฐานต่ำในปี 59 รวมถึงการเลือกตั้งช่วงปลายปี 60 ตาม Roadmap ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 60 ให้กรอบดัชนีในปีนี้ไว้ที่ระดับ 1,320-1,750 จุด โดยอ้างอิงกับการคาดการณ์ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยเติบโตที่ระดับ 3-4% บนสมมติฐานอัตราการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS growth) ราว 12.4% และ P/E อยู่ที่ระดับ 13-17 เท่า

โดยยังคงคาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจโลกทรงตัวแถว 3% แต่คาดเศรษฐกิจสหรัฐเติบโตดีกว่าปี 59 และเศรษฐกิจยูโรโซนฟื้นตัวช้าๆ แต่มีปัญหาความไม่แน่นอนจาก BREXIT และเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่าเป้าหมายทำให้ ECB ยังต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย รวมทั้งปัญหาการเมืองที่ยังไม่แน่นอนหลังการเลือกตั้งในฝรั่งเศสและเยอรมนี เศรษฐกิจญี่ปุ่นเติบโตแต่ไม่มาก GDP อยู่แถว 1% ส่วนเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจาก 6.7% ในปี 59 และลดเหลือ 6.5% ในปี 60

ดังนั้น แนะนำลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีศักยภาพในการเติบโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการเดินหน้าโครงการลงทุนด้านคมนาคมและสาธารณูปโภคพื้นฐานโดยภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แนะนำ CK, SYNTEC, TRC ได้ประโยชน์จากการเปิดประมูลงานภาครัฐและผลการดำเนินงานที่มีศักยภาพในการเติบโต และรองลงมากลุ่มส่งออก เช่น อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนค่า แนะนำ CPF, KCE และกลุ่มธนาคาร แนะนำ TISCO เนื่องจากภาพรวมสินเชื่อเช่าซื้อมีแนวโน้มปรับดีขึ้นเป็นลำดับ

สำหรับแนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำในปี 60 ยังอยู่ในทิศทางของแนวโน้มลงต่อ โดยปัจจัยที่จะยังกดดันราคาทองมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดระหว่าง 13-14 ธ.ค.59 มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50-0.75% พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 60 ครั้งละ 0.25% โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมระบุว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจมีการขยายตัวปานกลางนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 59

ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาในช่วงก่อนหน้าจะสามารถรองรับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้ ซึ่งจะส่งผลให้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในแนวโน้มขึ้นตลอดปี 60 อีกทั้งนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ที่เน้นดึงการลงทุนกลับมายังประเทศ พร้อมทั้งใช้นโยบายด้านการลดภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศ และนักลงทุนเชื่อมั่นว่านโยบายด้านเศรษฐกิจของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนที่ไปลงทุนนอกประเทศสหรัฐไหลเวียนกลับมายังในประเทศ การเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีแนวโน้มเกิดขึ้นจะส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้แข็งค่าขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยลบโดยตรงต่อราคาทองคำ

ประกอบกับ ECB ขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือ QE เพิ่มเติมอีก 9 เดือน โดยจากเดิมที่มาตรการจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.60 เป็นสิ้นสุดในเดือน ธ.ค.60 และอาจมีการขยายระยะเวลาเพิ่มเติมได้หากอัตราเงินเฟ้อและการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่ ECB คาด จะสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรเป็นแรงหนุนต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ

ส่วนแนวโน้มที่จีนจะมีการเพิ่มสำรองทองคำเพื่อสร้างความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเสถียรภาพของมูลค่าของเงินหยวนหลังจากที่ไอเอ็มเอฟเพิ่มสกุลเงินหยวนเป็นหนึ่งในสกุลเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.59 โดยปัจจุบันประเทศจีนเป็นผู้ผลิตทองรายใหญ่ที่สุดของโลกประมาณ 25% ของปริมาณการผลิตทองคำ ขณะที่เป็นผู้บริโภคอันดับ 1-2 ของโลกมาตลอด รวมถึงเป็นผู้นำเข้าทองคำรายใหญ่ของโลก

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนทองคำในปี 60 จะเน้นไปทางด้านเปิดสถานะ SHORT เพื่อเล่นรอบในทิศทางของขาลง โดยจะเป็นการรอเปิดสถานะ SHORT ช่วงที่ราคาทองมีการฟื้นตัว เพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้นของราคาทองที่ปรับลงมามากนับแต่กลางปี 59 โดยให้แนวรับ 1,050-1,020 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,270-1,330 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ