ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ฯ NWR วงเงินไม่เกิน 2 พันลบ.ที่ระดับ “BBB-/Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 28, 2017 13:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) ที่ระดับ “BBB-" พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี ของบริษัทที่ระดับ “BBB-" เช่นเดียวกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมและใช้ขยายธุรกิจ

อันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่หลากหลายทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนรวมถึงมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบ (Backlog) ที่อยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูง ตลอดจนลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การแข่งขันที่รุนแรง และความเสี่ยงจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่ไม่เป็นไปตามแผน

NWR ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 เพื่อดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างทั่วไป บริษัทสามารถรับงานก่อสร้างได้หลากหลายประเภท เช่น งานก่อสร้างอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม งานโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม งานท่าเรือ งานระบบชลประทาน งานอุโมงค์ และงานท่อ เป็นต้น บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2538 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2560 คือนายพลพัฒ กรรณสูต ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 11% บริษัทได้ขยายงานไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2555 หลังจากนั้นในปีต่อมาก็ได้จัดตั้ง บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร

อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลางจากผลงานที่เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านการดำเนินงานตามแผนและผลงานที่แล้วเสร็จ ความสามารถที่รับงานก่อสร้างได้หลากหลายประเภทส่งผลให้ฐานรายได้ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 6,500-7,500 ล้านบาทต่อปี บริษัทจัดอยู่ใน 6 อันดับแรกของกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในแง่ของรายได้และขนาดของสินทรัพย์

รายได้ของบริษัทในไตรมาสแรกของปี 2560 อยู่ที่ 2,065 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของรายได้รวมของบริษัทในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้อย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2552-2561 จากสัญญาสัมปทานโครงการขุดและขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะภายใต้กิจการร่วมค้าเอ็นดับเบิ้ลยูอาร์-เอสบีซีซี (NWR-SBCC Joint Venture)

การประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบที่อยู่ในระดับปานกลางด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 บริษัทมีงานรับเหมาก่อสร้างที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่า 11,462 ล้านบาทซึ่งมีโครงการหลัก ได้แก่ โครงการขุดและขนถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะมูลค่า 1,554 ล้านบาท โครงการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียมูลค่า 1,250 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดเครื่องบินของท่าอากาศยานเบตงมูลค่า 1,169 ล้านบาท ทั้งนี้ งานที่ยังไม่ได้ส่งมอบมูลค่าสูงสุด 3 ลำดับแรกมีมูลค่ารวม 3,974 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 35% ของมูลค่างานที่ยังไม่ได้ส่งมอบทั้งหมด

ภาพรวมธุรกิจรับเหมาก่อสร้างภายในประเทศซึ่งมีทิศทางที่ดีจากการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จำนวนมากของภาครัฐถือว่าเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตของบริษัท ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าบริษัทมีความพร้อมที่จะได้รับงานใหม่จากโครงการเหล่านี้ทั้งในฐานะที่เป็นผู้รับเหมาหลักหรือผู้รับเหมาช่วงแม้กำหนดเวลาในการดำเนินโครงการต่าง ๆ จะยังไม่มีความชัดเจนก็ตาม

บริษัทได้ขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นกลยุทธ์เพื่อเพิ่มฐานรายได้ โดยในปี 2549 บริษัทได้ลงทุน 40% ในบริษัทร่วมแห่งหนึ่งร่วมกับ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ (CI) บริษัทร่วมดังกล่าวได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไปแล้ว 2 โครงการด้วยมูลค่ารวมเกือบ 4,000 ล้านบาทและได้เริ่มพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนมูลค่า 2,600 ล้านบาทในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ในปี 2555 บริษัทได้พัฒนาโครงการของบริษัทเองซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อ "บารานี" และตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทก็ดำเนินการ โดยบริษัท มานะพัฒนาการ ซึ่งได้เปิดขายบ้านเดี่ยว 2 โครงการและคอนโดมิเนียม 1 โครงการด้วยมูลค่ารวมประมาณ 3,400 ล้านบาท อย่างไรก็ดี รายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำ แต่ก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อันดับเครดิตยังสะท้อนรวมไปถึงการที่บริษัทยังมีผลงานในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่มากนัก อีกทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามแผนก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันอันดับเครดิตของบริษัทอีกด้วย ในขณะที่ยอดขายในโครงการบ้านเดี่ยวต่ำกว่าเป้าหมาย บริษัทจำเป็นจะต้องแบกภาระต้นทุนการเงินของโครงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อันดับเครดิตยังถูกลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่สูงของบริษัทด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพื่อตอบสนองความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายฝ่ายทุน เนื่องจากรายงานงบการเงินของบริษัทไม่ได้สะท้อนภาระหนี้ทั้งหมด ดังนั้น ในการประเมินอันดับเครดิต ทริสเรทติ้งจึงได้รวมภาระหนี้ของกิจการร่วมค้าเอ็นดับเบิ้ลยูอาร์-เอสบีซีซีเข้าไว้ด้วยเพื่อสะท้อนภาระหนี้ของบริษัทในฐานะผู้ร่วมลงทุนและผู้ค้ำประกัน

ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งหมด 5,025 ล้านบาทซึ่งรวมหนี้ของกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการลงทุน โดยเพิ่มขึ้นจาก 2,385 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2556 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 57.38% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2560 เพิ่มขึ้นจาก 50% โดยเฉลี่ยในช่วงปี 2555-2557

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลกระทบอย่างมากจากลูกหนี้ค้างชำระซึ่งส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัทอีกด้วย สถานะทางการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาต่ำกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้ง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 อยู่ที่ 9.5% ทรงตัวจากปี 2559 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูงหากบริษัทไม่สามารถบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้ดีขึ้นและเร่งการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งยังคงเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อระดับรายได้และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้รวมของบริษัทน่าจะอยู่ในระดับ 9,000-10,000 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2560-2562 ความเสี่ยงที่รายได้ของบริษัทจะต่ำกว่าประมาณการอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากบริษัทมีมูลค่างานที่ยังไม่ส่งมอบที่จะรับรู้เป็นรายได้ในช่วงปี 2560 และ 2561 ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากประมาณ 6%-8% มาอยู่ในระดับที่มากกว่า 8% เนื่องจากบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าเดิมจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในช่วง 45%-55% ในช่วงปี 2560-2562 เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 600-700 ล้านบาทต่อปี และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคาดว่าจะสูงกว่า 15% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่า

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในงานวิศวกรรมโยธาจากโครงการของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนได้ต่อไป อีกทั้งบริษัทจะสามารถคว้าโอกาสในการได้งานใหม่จากโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะที่การเก็บเงินจากลูกหนี้จะบริหารจัดการได้ โดยที่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% หรืออัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 1.5 เท่าในช่วงปี 2560-2562 และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ในระดับที่มากกว่า 8%

อันดับเครดิต และ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับผลกระทบหากการขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นสาเหตุที่ทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มเกินกว่า 60% เป็นระยะเวลาต่อเนื่อง การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงในขณะที่รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีสัดส่วนที่น้อย อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการลดลงของภาระหนี้จะเป็นปัจจัยบวกแก่อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ