(เพิ่มเติม) KKP ยอมรับ NPL ทั้งปีนี้อาจพุ่งทะลุเป้าหลังศก.ฟื้นช้ากว่าคาด ยังคงเป้าสินเชื่อปีนี้โต 5%

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday July 31, 2017 13:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน (KKP) กล่าวยอมรับว่า แนวโน้มสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้อาจจะสูงกว่าที่ธนาคารที่ตั้งเป้าหมายจะควบคุมไว้ไม่ให้เกิน 5.2% หลังจากครึ่งปีแรก NPL ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 5.8% ถือว่าอยู่ในระดับสูง และเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่ 5.6% โดยเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ยังไม่กลับมาดีขึ้น อีกทั้งยังมี NPL ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การควบคุม NPL ให้เป็นไปได้ตามเป้าหมายค่อนข้างท้าทาย และอาจโอกาสเกินเป้า

สำหรับการตั้งสำรองหนี้ที่มีปัญหาในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งปีแรกที่มีการตั้งสำรองในระดับ 4.5 พันล้านบาท หรือเป็นระดับ Credit cost ที่ 0.98% ซึ่งธนาคารได้ตั้งเป้า Credit cost ในปีนี้อยู่ที่ 1-1.2% โดยปัจจุบันอัตราส่วนสำรองตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ที่ 185.1% และอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของอยู่ที่ 104.6%

ประกอบกับ ช่วงที่เหลือปีนี้ธนาคารยังไม่มีแผนจะขายหนี้ออกไป หลังจากครึ่งปีแรกขายออกไปแล้ว 460 ล้านบาท เพราะธนาคารจะหันมาเน้นการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาของลูกหนี้มากขึ้น และหนี้ส่วนใหญ่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอยู่แล้ว ทำให้ไม่มีความจำเป็นมากนักที่จะต้องขายหนี้ออกไปอีก

นายอภินันท์ กล่าวว่า แนวโน้มสินเชื่อรวมของธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวได้สูงกว่าครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 4.1% และทั้งปีนี้ยังคงเป้าการขยายตัวที่ 5% โดยสินเชื่อลูกค้าบรรษัทหรือสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนการขยายตัวของสินเชื่อรวม แม้ว่าสินเชื่อลูกค้าบรรษัทจะมีการเบิกใช้สินเชื่อเข้ามามาก แต่ก็มีการชำระคืนที่ค่อนข้างเร็ว และเป็นสินเชื่อที่ให้ควบคู่กับงานด้านวาณิชธนกิจ ซึ่งมองว่ายังมีโอกาสเติบโตได้ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 106.8%

ส่วนสินเชี่อรายย่อยที่เป็นกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบ้าน และสินเชื่อเอสเอ็มอีคูณ 3 ยังมีการขยายตัวที่ต่อเนื่อง จากการรุกขยายฐานลูกค้าของธนาคาร และมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ขยายตัว 53%

"ความต้องการใช้ทั้ง 2 ประเภทยังสูงอยู่ โดยสินเชื่อรายใหญ่ตอนนี้ที่เป็น Project Finance ที่อยู่ไน Pipe line ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่ทยอยเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ และสินเชื่อรายย่อยตอนนี้ก็เข้ามาเฉลี่ย 4 พันล้านบาท/เดือน หรือถึงสิ้นปีตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปรวมกันก๊ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท"นานอภินันท์ กล่าว

ส่วนแนวโน้มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในปีนี้ คาดว่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาจจะแค่ทรงตัวหรือกลับมาเป็นบวกได้เล็กน้อย หลังจากที่ยอดขายรถยนต์ในประเทศเติบโตต่ำกว่าการคาดการณ์ และตลาดรถยนต์ใหม่เติบโตมากกว่าตลาดรถยนต์มือสอง ซึ่งตรงกันข้ามกับกลยุทธ์การดำเนินงานของธนาคารที่เน้นสินเชื่อรถยนต์มือสอง ประกอบกับธนาคารเห็นแนวโน้มของ NPL รถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยังคงระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ใหม่ ส่งผลให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในครึ่งปีแรกติดลบ 5.2% ขณะที่งานวาณิชธนกิจในส่วนการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและการเป็นผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) และการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปี 61 มีจำนวน 4-5 ดีล ซึ่งจะทยอยเสนอขายและเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 61

ด้าน บลจ.ภัทร ครึ่งปีแรกมีการเติบโตที่ดีทั้งในส่วนของกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุนกว่า 5.6 หมื่นล้านบาท มีกองทุนภายใต้การบริหาร 30 กองทุน (Mutual Fund 27, Property Fund 3) ส่วนกองทุนส่วนบุคคล มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารกว่า 1.56 หมื่นล้านบาท เติบโตกว่า 50% เมื่อเทียบกับปลายปี 59

นายอภนันท์ มองว่าแนวโน้มมุมมองต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตามอง 3 ประการ ได้แก่ รายได้เกษตรกรเริ่มชะลอตัวลงจากราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มปรับลดลง โดยเฉพาะยางและปาล์มน้ำมัน อาจทำให้การบริโภคในระยะต่อไปชะลอตัวลง ถัดมาคืออัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนไม่น่าจะปรับขึ้นได้เร็วนัก และสุดท้ายคือภาคการส่งออกอาจชะลอตัวลงในระยะต่อไปจากราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและสินค้าเกษตรที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก และการแข็งค่าของเงินบาทที่จะกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาท

ด้านธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะในส่วนของ Private Bank ภายใต้ธุรกิจไพรเวทเวลธ์สำหรับผู้ลงทุนไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) อยู่ที่ 4.03 แสนล้านบาท (ไม่รวมเงินฝาก) โดยมียอดเงินลงทุนใหม่กว่า 2.2 หมื่นล้านบาท และล่าสุด บล.ภัทร ได้เปิดบริการใหม่ คือ Global Investment Service (GIS) ซึ่งเป็นการให้บริการลงทุนต่างประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ไร้ข้อจำกัดด้านพรมแดน ซึ่งการบริการดังกล่าวนี้เทียบชั้นไพรเวทแบงค์ระดับโลก


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ