บลจ.ทิสโก้ ออกกองทริกเกอร์หุ้นจีนหลังเห็นโอกาสเชิงบวกลงทุนตลาดเอเชีย เสนอขาย IPO 15-21 ก.พ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 14, 2018 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บริษัทเสนอขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#2 เริ่ม IPO 15-21 ก.พ.61 ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับฐานและผันผวน ทำให้เห็นโอกาสและมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน เนื่องจากราคาหุ้นยังถูกและปรับขึ้นน้อยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคที่ดัชนีทยอยปรับขึ้นจนทำจุดสุงสุดใหม่และหลายตลาดเพิ่มขึ้นจนระดับราคาใกล้กับช่วงที่มีวิกฤติเศรษฐกิจปี 51

กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อิควิตี้ ทริกเกอร์ 5M#2 เป็นทริกเกอร์ฟันด์หุ้นจีนกองทุนที่ 2 ที่ตั้งเป้าหมายเลิกโครงการที่ 5% ภายในระยะเวลา 5 เดือน หรือ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหลังจากเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ซึ่งการกำหนดเป้าหมาย 5% ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทนของกองทุน ในช่วงระยะเวลา 5 เดือนแรก ผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ และเป้าหมายดังกล่าวเป็นเป้าหมายก่อนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง

กองทุนดังกล่าว (ความเสี่ยงระดับ 6) มีมูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท เน้นลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุนอีทีเอฟ Hang Seng H-Share Index ETF (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวตามดัชนี Hang Seng China Enterprises

อย่างไรก็ตาม กองทุนหลักจะลงทุนในหุ้นของบริษัทจีน ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ดังนั้น กองทุนจึงมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของทั้งประเทศจีนและประเทศฮ่องกง ผู้ลงทุนควรศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่อาจมีผลกระทบอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และเนื่องจากกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศจึงมีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน กองทุนจึงมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน

นายสาห์รัช กล่าวว่า การปรับฐานของตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนว่าการลงทุนในปี 61 จะมีความผันผวนมากกว่าปีก่อนหน้า แม้ตัวเลขเศรษฐกิจในประเทศหลักจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งพร้อมๆ กัน และแม้อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกยังคงเติบโต ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้หนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นจนทำจุดสูงสุดใหม่

ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยที่จะสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนรออยู่ข้างหน้า เช่น สภาพคล่องการเงินส่วนเกินจะค่อยๆ ลดลง ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะเข้ามากระทบตลาดเป็นช่วงๆ เป็นเหตุให้ตลาดหุ้นต่อจากนี้ยังคงปรับขึ้นและลงในลักษณะผันผวนต่อไป การลงทุนจึงต้องอาศัยการจับจังหวะที่เหมาะสม พร้อมทั้งพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี

"ตลาดหุ้นจีนมีประเด็นเชิงบวกจากกระแสเงินทุนไหลเข้าหลังจากตลาดหุ้นจีนถูกนับอยู่ในดัชนี MSCI นักลงทุนต่างชาติจึงต้องทยอยซื้อเพื่อบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน และยังมีปัจจัยบวกจากการเชื่อมตลาดหุ้นเซินเจิ้นและฮ่องกงเข้าด้วยกันทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นสร้างความน่าสนใจการลงทุน" นายสาห์รัช กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ