(REPEAT) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 40.82 จุด หลังสหรัฐเผย GDP อ่อนแรง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 1, 2017 06:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงในวันศุกร์ (28 เม.ย.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวอ่อนแรงที่สุดในรอบ 3 ปี ขณะที่บริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ของสหรัฐต่างเปิดเผยผลประกอบการ ซึ่งนักลงทุนติดตามดูรายงานเหล่านี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,940.51 จุด ลดลง 40.82 จุด หรือ -0.19% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,384.20 จุด ลดลง 4.57 จุด หรือ -0.19% ดัชนี NASDAQ ปิดที่6,047.61 จุด ขยับลง 1.33 จุด หรือ -0.02%

สำหรับในรอบสัปดาห์ ดัชนีหลักทั้งสามดัชนีปรับตัวขึ้น โดยดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 1.9% ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 1.5% ดัชนี NASDAQ พุ่ง 2.3%

ขณะที่ในเดือนเม.ย. สามดัชนีปรับตัวขึ้น 1.3%, 0.9% และ 2.3% ตามลำดับ โดย NASDAQ ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี หลังจากที่ดัชนี NASDAQ ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยปรับตัวขึ้นเหนือระดับจิตวิทยาที่ 6,000 ได้เป็นครั้งแรก เพราะได้อานิสงส์จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่

สำหรับภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กวันศุกร์นั้น นักลงทุนผิดหวังต่อการเปิดเผยตัวเลขการขยายตัวที่ซบเซาของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 1 โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 1 อยู่ที่ระดับ 0.7% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.2%

การขยายตัวที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1 ได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายที่ซบเซาของผู้บริโภค และตอกย้ำรูปแบบการปรับตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่มักจะชะลอตัวในช่วงต้นปี

การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีการขยายตัวเพียง 0.3% ในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 ปี โดยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวมากกว่า 3% ในไตรมาส 2

ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาลลดลง 1.7% ในไตรมาส 1 โดยการใช้จ่ายด้านกลาโหมดิ่งลง 4.0% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2557

อย่างไรก็ดี การลงทุนในภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 9.1% ในไตรมาส 1 โดยได้แรงหนุนจากการขุดเจาะ และสำรวจน้ำมันที่เพิ่มขึ้น หลังราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบหลายปี

ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 2.1% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว หลังจากที่พุ่งขึ้น 3.5% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2557 และมีการเติบโต 1.4% ในไตรมาส 2 และ 0.8% ในไตรมาส 1

ขณะเดียวกัน นักลงทุนติดตามดูรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐ ซึ่งหลายแห่งออกมาแข็งแกร่ง และช่วยเป็นแรงหนุนแก่ตลาด

บริษัทอเมซอนรายงานผลกำไรและยอดขายในไตรมาส 1 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยอเมซอนเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 1.48 ดอลลาร์/หุ้น และยอดขายพุ่งขึ้น 23% สู่ระดับ 3.57 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า อเมซอนจะมีผลกำไร 1.12 ดอลลาร์/หุ้น และยอดขาย 3.53 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1

ด้าน อัลฟาเบท อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์ รายงานผลกำไรและรายได้ในไตรมาส 1 ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน ทั้งนี้ อัลฟาเบทเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรที่ระดับ 7.73 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่มีรายได้ที่ระดับ 2.475 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า อัลฟาเบทจะมีผลกำไร 7.39 ดอลลาร์/หุ้น และมีรายได้ 2.422 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1

เจเนอรัล มอเตอร์ (GM) บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไรพุ่งขึ้นเกินคาดในไตรมาส 1 ขณะที่ยอดขายรถบรรทุกทะยานขึ้นในสหรัฐ โดย GM มีกำไร 2.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.70 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1 ซึ่งพุ่งขึ้น 33% เมื่อเทียบกับระดับ 1.95 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.24 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า บริษัทจะมีกำไร 1.48 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1

ด้านบริษัทเอ็กซอน โมบิล คอร์ป เปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 95 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 85 เซนต์/หุ้น ทั้งนี้ กำไรในไตรมาส 1 ของเอ็กซอน โมบิล สูงกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้วกว่า 2 เท่า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 43 เซนต์/หุ้น

สำหรับความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับวิกฤตชัตดาวน์นั้น ปรากฏว่าสหรัฐรอดพ้นจากวิกฤตชัตดาวน์มาได้อย่างหวุดหวิด ภายหลังสภาผู้แทนราษฏรและวุฒิสภาสหรัฐพร้อมใจโหวตรับรองงบประมาณชั่วคราว

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงคะแนนเสียงท่วมท้น 382-30 เสียง อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวที่จะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการใช้จ่ายต่อไปอีก 1 สัปดาห์จนถึงวันที่ 5 พ.ค.

นอกจากนี้ วุฒิสภาก็ได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายดังกล่าวเช่นกัน และส่งไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามรับรองเป็นกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ หากสภาคองเกรสไม่ให้การอนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวดังกล่าวภายในเส้นตายเวลาเที่ยงคืนของวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ ก็จะส่งผลให้มีการปลดข้าราชการจำนวนหลายล้านคนเป็นการชั่วคราว และปิดหน่วยงานของรัฐบาลบางส่วน เนื่องจากขาดงบประมาณในการว่าจ้างพนักงาน

รัฐบาลและสภาคองเกรสหวังว่าการขยายเส้นตายจากเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ไปอีก 1 สัปดาห์ เป็นวันที่ 5 พ.ค. จะช่วยให้มีเวลามากขึ้นในการเจรจากับพรรคเดโมแครตเพื่อบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณระยะยาววงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่จะทำให้รัฐบาลมีเงินทุนบริหารประเทศจนสิ้นสุดปีงบประมาณปัจจุบันในวันที่ 30 ก.ย. และหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ สหรัฐเคยเผชิญกับภาวะดังกล่าวในปี 2556 ซึ่งส่งผลให้มีการปิดหน่วยงานของรัฐบาลเป็นเวลา 17 วัน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ นอกเหนือจากตัวเลขจีดีพี ที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์ ได้แก่ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (ECI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนแรงงานที่กว้างที่สุด ดีดตัวขึ้น 0.8% ในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2550 หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.5% ในไตรมาส 4

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี ECI จะปรับตัวขึ้น 0.6% ในไตรมาส 1

ทั้งนี้ ดัชนี ECI ถือเป็นมาตรวัดที่น่าเชื่อถือสำหรับภาวะตลาดแรงงาน และเป็นดัชนีคาดการณ์ที่ดีสำหรับอัตราเงินเฟ้อซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.0 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 96.9 ในเดือนมี.ค. แต่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 98.0

ดัชนีภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันร่วงลงสู่ระดับ 112.7 ตำกว่าระดับ 113.2 ในเดือนมี.ค. ส่วนดัชนีคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจขยับขึ้นสู่ระดับ 87.0 จากระดับ 86.5 ในเดือนมี.ค.

หุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 0.05% และ หุ้นเชฟรอน บวก 1.17% หลัง 2 บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่เปิดเผยผลประกอบการดีเกินคาด

หุ้นกู๊ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ บวก 2.2% หลังบริษัทเผยผลกำไรดีเกินคาด แม้รายได้จากการขายน่าผิดหวังก็ตาม

หุ้นคอลเกตคอลเกต-ปาล์มโอลีฟ ลดลง 1.7% หลังบริษัทเผยรายได้ต่ำกว่าคาดการณ์

หุ้นอินเทล ร่วง 3.5% แม้บริษัทรายงายผลประกอบการพุ่งสูงขึ้น หุ้นสตาร์บัคส์ลดลง 2% หลังรายได้ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ