(REPEAT) ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 122.91 จุด วิตกการค้าจีน-สหรัฐ, สถานการณ์ไม่แน่นอนในซีเรีย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 16, 2018 07:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (13 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงระมัดระวังการซื้อขาย ท่ามกลางความวิตกกังวลในเรื่องผลกระทบจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ตลอดจนความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจเป็นผลลบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,360.14 จุด ร่วงลง 122.91 จุด หรือ -0.50% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,656.30 จุด ลดลง 7.69 จุด หรือ -0.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,106.65 จุด ลดลง 33.60 จุด หรือ -0.47%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปด้วยความระมัดระวัง แม้ธนาคารรายใหญ่อย่าง เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก จะออกมาเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ดีกว่าคาดการณ์

นักลงทุนยังคงมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐซึ่งได้กลับมาตึงเครียดอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งการให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) พิจารณารายการสินค้านำเข้าจากจีนที่สหรัฐอาจเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าเพื่อตอบโต้ความเคลื่อนไหวของจีนต่อการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนวงเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่สหรัฐออกมาประกาศใช้มาตรการทหารต่อซีเรีย แม้ปธน.ทรัมป์จะออกมาเปิดในภายหลังว่า การยิงขีปนาวุธโจมตีซีเรียอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ โดยคำกล่าวของปธน.ทรัมป์สอดคล้องกับที่นางซาราห์ แซนเดอร์ส โฆษกทำเนียบขาวได้แถลงต่อผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธว่า รัฐบาลสหรัฐยังไม่ได้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายเกี่ยวกับการโจมตีซีเรีย โดยขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมทางเลือกเอาไว้ทุกทาง

ทั้งนี้ ข้อความในทวิตเตอร์ของปธน.ทรัมป์ระบุว่า "ผมไม่เคยบอกว่าการโจมตีซีเรียจะเกิดขึ้นเมื่อใด อาจจะในเร็วๆนี้ หรือไม่ใช่ในเร็วๆนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร สหรัฐอเมริกา ภายใต้การบริหารงานของคณะรัฐบาลของผม ได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่ในการกำจัดกลุ่ม ISIS ออกจากภูมิภาค แต่ทำไมไม่มีเสียงขอบคุณอเมริกาเลย"

เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เปิดเผยผลกำไรสุทธิประจำไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 35% แตะ 8.71 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.37 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 2.28 ดอลลาร์ต่อหุ้น ด้านรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% แตะ 2.85 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าการคาดการณ์ที่ 2.77 หมื่นล้านดอลลาร์

ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลกำไรของธนาคารอยู่ที่ 4.62 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 13% จาก 4.09 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที 1.68 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.61 ดอลลาร์ต่อหุ้น ด้านรายได้อยู่ที่ 1.887 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 3% จาก 1.837 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และสอดคล้องใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.886 หมื่นล้านดอลลาร์

เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค เปิดเผยผลกำไรไตรมาสแรกปีนี้ เพิ่มขึ้น 5.5% แตะ 5.94 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.12 ดอลลาร์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.06 ดอลลาร์ต่อหุ้น ขณะที่รายได้ลดลงสู่ระดับ 2.19 หมื่นล้านดอลลาร์ จาก 2.23 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่ดีกว่าการคาดการณ์ที่ระดับ 2.17 หมื่นล้านดอลลาร์

ข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นในช่วงแรกของการซื้อขาย ก่อนพลิกกลับมาปิดตลาดในแดนลบ ท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ รวมถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในซีเรียจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยหุ้นเจพีมอร์แกนลดลง 2.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ปลบ 1.6% ส่วนหุ้นเวลส์ ฟาร์โกร่วงลงราว 3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ