(เพิ่มเติม) ฟิทช์จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ CPALL ที่ 'A+(tha)'

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday December 15, 2014 15:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศจัดอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) หุ้นกู้มีประกันชุดใหม่ของ บมจ.ซีพี ออลล์(CPALL) ที่ ‘A+(tha)’

ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวประกอบด้วยหุ้นกู้ 2 ชุด ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2560 และปี 2569 โดยมีจำนวนเงินรวมไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ดังกล่าวมีหลักประกันเป็นหุ้นสามัญของ บมจ.สยามแม็คโคร(MAKRO) ซึ่งถือโดย CPALL เงินที่ได้รับจากการออกหุ้นกู้ดังกล่าวจะนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากธนาคารบางส่วน

หุ้นกู้มีประกันดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ CPALL เนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับหลักประกันในลักษณะและสัดส่วนที่คล้ายคลึงกับเงินกู้ยืมจากธนาคารแบบมีหลักประกัน และหุ้นกู้มีประกันของ CPALL ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 90 ของหนี้สินรวมของ CP ALL

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต ผู้นำในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ CPALL เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกประเภทร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยจำนวนร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven มากกว่า 8,000 ร้านทั่วประเทศ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณร้อยละ 60 ในด้านจำนวนร้าน ซึ่งสูงกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่อันดับสองเป็นอย่างมาก ฟิทช์เชื่อว่า CPALL จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำทางการตลาดไว้ได้ แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกจะมีการแข่งขันที่สูง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทฯ มีร้านค้าในเครือในจำนวนที่มากกว่าและครอบคลุมพื้นที่มากกว่าคู่แข่งขัน รวมถึงการมีหน่วยงานในเครือที่สนับสนุนกิจการค้าปลีกของบริษัทฯ ได้แก่การบริการด้านลอจิสติกส์ การซ่อมแซมและบำรุงรักษาร้านค้าและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการฝึกอบรมและพัฒนาพนักงาน

เครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง CPALL บริหารงานร้านสะดวกซื้อภายใต้เครื่องหมายการค้า 7-Eleven ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก ภายใต้สัญญา Area License Agreement ที่ทำกับบริษัท 7-Eleven Inc., แห่งสหรัฐอเมริกา โดยได้เปิดดำเนินการร้านค้าแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2532 ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนร้านค้า 7-Eleven มากเป็นอันดับที่สองในโลก (ไม่รวมสหรัฐอเมริกา) รองจากประเทศญี่ปุ่น

การขยายธุรกิจไปยังธุรกิจค้าส่ง: การเข้าซื้อกิจการของ Makro ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าระบบสมาชิกแบบชำระเงินสด และบริการตนเอง (Membership based Cash & Carry trade center) ในประเทศไทย ทำให้ CPALL สามารถขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจค้าส่ง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มฐานลูกค้าทั้งในด้านปริมาณและความหลากหลาย หลังจากการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว CPALL ได้กลายเป็นผู้ประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) ประเภทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

กระแสเงินสดที่มั่นคงและการเติบโตที่แข็งแกร่ง: CPALL มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากสินค้าที่ขายในร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพประจำวัน ในขณะที่การเติบโตของบริษัทฯ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาวะของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยที่ยังเติบโตไม่ถึงระดับอิ่มตัว ฟิทช์คาดว่ายอดขายของ CPALL ในปี 2557 จะมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรวมงบการเงินของ Makro ในงบการเงินรวมของบริษัทฯ เต็มปีเป็นปีแรก นอกจากนี้ ยอดขายของ CPALL น่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2558-2560 จากการเปิดร้านค้าใหม่และอัตราการเติบโตของยอดขายของร้านค้าเดิม แม้ว่าอัตราการเติบโตของยอดขายของร้านค้าเดิมอาจจะชะลอตัวลงในปี 2557

อัตราส่วนหนี้สินที่สูง ด้วยความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งของ CPALL ฟิทช์คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ จะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า แม้ว่าแผนการขยายสาขาที่รวดเร็วขึ้นของ MAKRO อาจทำให้ MAKRO และบริษัทฯ (เมื่อพิจารณางบการเงินรวม) มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (Free Cash Flow, FCF) เป็นลบในปี 2557 แต่ฟิทช์คาดว่าการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินน่าจะช้ากว่าที่ฟิทช์คาดการณ์ไว้เดิมเพียงเล็กน้อย โดยอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ ที่วัดจากหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (funds flow from operations (FFO) adjusted net leverage) น่าจะลดลงเหลือประมาณ 5.0 เท่าถึง 5.5 เท่าในปี 2558 และต่ำกว่า 3.5 เท่า ในปี 2560 จาก 7.6 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557

ปัจจัยที่อาจมีผลต่ออันดับเครดิตในอนาคต ปัจจัยลบ: การลดลงของอัตราส่วนหนี้สินที่ช้ากว่าที่คาด โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO adjusted net leverage) ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5.0 เท่าอย่างมีนัยสำคัญในปี 2558 และสูงกว่า 3.5 เท่าในปี 2560 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่ายและ ค่าเช่าต่อรายได้ (EBITDAR Margin) ที่ลดลงต่ำกว่าร้อยละ 8.5 อย่างต่อเนื่อง (9 เดือนแรกของปี 2557: ร้อยละ 10) และ/หรือ การมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังหักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและเงินปันผลจ่าย (FCF) ที่เป็นลบต่อเนื่องกัน 2 ปี

การปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากอัตราส่วนหนี้สินที่สูงของบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ