การบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นกว่า 5% เมื่อวานนี้ นอกจากจะเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) แล้ว ยังสร้างความพึงพอใจต่อกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดาน (shale oil) ของสหรัฐเช่นกัน หลังจากรอคอยการตัดสินใจดังกล่าวมาเป็นเวลานานกว่า 2 ปี
ที่ประชุมโอเปกมีมติปรับลดการผลิตน้ำมันลงสู่ระดับ 32.5 - 33 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปัจจุบันที่ระดับ 33.24 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นายโมฮัมหมัด บิน ซาเลห์ อัล-ซาดา ประธานโอเปก ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการประชุมที่ยืดเยื้อยาวนานกว่า 6 ชั่วโมงเสร็จสิ้นลง โดยยืนยันว่า ที่ประชุมได้บรรลุข้อตกลงปรับลดการผลิตน้ำมัน และตกลงที่จะจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่พิจารณาส่วนแบ่งด้านการผลิตของสมาชิกโอเปกแต่ละประเทศ และจากนั้นจะยื่นรายงานต่อที่ประชุมโอเปกครั้งต่อไปซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในวันที่ 30 พ.ย.
ทั้งนี้ หลังจากที่โอเปกปล่อยให้ราคาน้ำมันทรุดตัวลงนับตั้งแต่กลางปี 2014 บริษัทน้ำมันในสหรัฐซึ่งมีต้นทุนการผลิตสูงกว่าโอเปก ก็ได้ตกอยู่ในภาวะล้มละลายจำนวนหลายสิบแห่ง
ขณะเดียวกัน การดิ่งลงของราคาน้ำมัน ก็ได้กระทบต่อสถานะการคลังของกลุ่มประเทศสมาชิกโอเปกเช่นกัน โดยสมาชิกโอเปกหลายประเทศ เช่น เวเนซุเอลา และอังโกลา ประสบปัญหางบประมาณของประเทศหดตัวลงอย่างมาก ขณะที่ซาอุดิอาระเบียตัดสินใจปรับลดเงินเดือนของข้าราชการลง 20% รวมทั้งลดสวัสดิการต่างๆที่เคยได้รับ
ผู้คร่ำหวอดในอุตสาหกรรมน้ำมันสหรัฐเปรียบเทียบสงครามราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมาว่า เหมือนกับการชกมวยที่นักชกต่างก็บอบช้ำด้วยกันทั้งคู่ และกรรมการก็ตัดสินให้เสมอกันเมื่อครบกำหนด 12 ยก
ข้อตกลงของโอเปกเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวรับใกล้ระดับ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่บริษัทผลิตน้ำมัน shale oil ของสหรัฐสามารถทำกำไรได้ และจะทำให้กลับมาขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อไป