NCLยกระดับขนส่งสินค้าทางน้ำ ปูพรมเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ ระนอง-ย่างกุ้ง เปิดประตูสู่เศรษฐกิจเมียนมาร์-กลุ่มประเทศ BIMSTEC

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday March 12, 2015 17:03 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--IR network บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ (NCL) ลงนามข้อตกลงการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือระนอง จากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เปิดเส้นทางเดินเรือตู้สินค้าแห่งแรกอย่างเป็นทางการ "ท่าเรือระนอง-ย่างกุ้ง " หวังเชื่อมจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจสู่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์และกลุ่มประเทศ BIMSTEC ด้วยจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่ง 400 ตู้ต่อสัปดาห์ บรรทุกสินค้าได้ถึง 1 หมื่นตันต่อเที่ยว "กิตติ พัวถาวรสกุล" ระบุเส้นทางแห่งใหม่นี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ระดับสากลของบริษัท ที่เฝ้าจับตามองอุตสาหกรรมด้านโลจิสติกส์ในตลาดที่กำลังมาแรง เชื่อหนุนรายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมตั้งเป้ารายได้ปี'58 โตไม่ต่ำกว่า 30% นายกร ทัพพะรังสี ประธานกรรมการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามข้อตกลงฯ กับการท่าเรือฯ เพื่อใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่างๆ ของท่าเรือระนอง ซึ่งถือเป็นการเปิดเส้นทางเดินเรือระบบตู้สินค้าแห่งใหม่อย่างเป็นทางการจากท่าเรือระนองไปยังจุดเชื่อมต่อการค้าคือ ท่าเรืออาห์รอน อินเตอร์เนชั่นแนล พอร์ต เทอร์มินอล วัน นครย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งการเปิดเส้นทางใหม่ดังกล่าวนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ถือเป็นก้าวที่สำคัญของบริษัทฯ ในการเพิ่มจุดขนส่งสินค้า เพื่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต โดยจุดแข็งสำคัญของท่าเรือระนองนั้น นอกจากจะตั้งอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจที่จะช่วยย่นทั้งระยะเวลาการขนส่ง และระยะทาง ค่าธรรมเนียมที่ไม่สูงแล้ว ยังเป็นท่าเรือที่มีศักยภาพในการรองรับระบบตู้สินค้าฝั่งทะเลอันดามันของไทย เพื่อเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ NCL มีศักยภาพในการแข่งขันและมีรายได้ที่เติบโตเพิ่มมากขึ้นจากการมาใช้บริการจากกลุ่มลูกค้า ด้านนายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (NCL) กล่าวว่า นับเป็นโอกาสที่ดีของบริษัทฯ ที่ได้ลงนามข้อตกลง ฯ เพื่อใช้ท่าเรือระนองโดยตรงกับการท่าเรือฯ เนื่องจากท่าเรือระนองเป็นท่าเรือที่มีศักยภาพ และเป็นท่าเรือรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในฝั่งทะเลอันดามัน สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้จำนวนมาก ประกอบกับปัจจุบันท่าเรือมีความพร้อมด้านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน ซึ่งการเปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของบริษัทฯ ในครั้งนี้ จะช่วยประหยัดเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศเมียนมาร์ และประเทศในแถบฝั่งอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดียลงประมาณ 3 เท่า โดยเหลือเพียง 3 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางที่ผู้ประกอบการใช้ในปัจจุบัน ที่ต้องผ่านท่าเรือกรุงเทพฯ หรือท่าเรือแหลมฉบัง ก่อนจะอ้อมผ่านสิงคโปร์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 14-21 วัน ด้วยจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่ง 400 ตู้ต่อสัปดาห์ ที่บรรจุสินค้าได้ถึง 1หมื่นตันต่อเที่ยว แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ NCL ที่พร้อมจะช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าในการขนส่งอันรวดเร็วอย่างมีประสิทธิภาพ "เศรษฐกิจประเทศเมียนมาร์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสทางการค้าสูงมาก จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัท เพราะเส้นทางขนส่งสินค้าทางน้ำแห่งใหม่นี้จะช่วยย่นระยะเวลาในการขนส่งสินค้า ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และการลงทุนที่ NCL ต้องการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เพื่อขานรับต่อประสิทธิภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งการขยายพื้นที่ในภูมิภาคเอเชียถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ระดับสากลของบริษัทที่เฝ้าจับตามองต่ออุตสาหกรรมด้านโลจิสติกส์ในตลาดที่กำลังมาแรง อีกทั้งเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเครือข่ายขนส่งของบริษัทให้เพิ่มมากขึ้น และบริษัทเป็นรายเดียวในขณะนี้ที่เป็นผู้ให้บริการการขนส่งดังกล่าว หากประสบความสำเร็จจะช่วยสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ"นายกิตติกล่าว สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทเตรียมเปิดสาขาต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะสาขาในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจะเน้นประเทศในแถบอาเซียน อาทิ ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เพื่อรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยสาขาแรกที่เปิดไปแล้ว คือ ประเทศสิงคโปร์ ชื่อ บริษัท เอ็นซีเแอล อินเตอร์ โลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายหลักต้องการให้ธุรกิจของบริษัทเป็นที่รู้จัก มีโอกาสในธุรกิจที่ดำเนินการอยู่มากขึ้น ที่สำคัญผลักดันให้ผลการดำเนินงานของเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งปี 2558 ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ตํ่ากว่า 30% เป็นการเติบโตที่มาจากสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของงานโลจิสติกส์ทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับบริษัทจะมีแหล่งรายได้เพิ่มเข้ามาทั้งจากการเข้าไปถือหุ้นใน บริษัทที่สิงคโปร์ รวมถึงการเปิดเส้นทางขนส่งทางน้ำแห่งใหม่ที่ท่าเรือระนอง พลเรือเอก อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ประธานกรรมการ การท่าเรือฯ กล่าวว่า ท่าเรือระนอง ตั้งอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจ ในการเชื่อมโยงทั้งประเทศเมียนมาร์ จีน อินเดีย และกลุ่มประเทศ BIMSTEC ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะผลักดันให้บมจ.เอ็นซีแอลฯ สามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตได้อย่างมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยย่นระยะทางในการเดินเรือสินค้าไปยังประเทศเมียนมาร์แล้ว ยังทำให้การขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศเมียนมาร์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถือเป็นการเชื่อมโยงการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้มีโอกาสทางการค้าที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมาร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ