JMART – JMT ควงคู่อวดกำไรปี 59 นิวไฮ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 21, 2017 15:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--IRPLUS JMART – JMT ประกาศผลงานปี 59 อวดกำไรทำนิวไฮสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดย JMART กำไรสุทธิอยู่ที่ 438 ลบ. โต 36% รายได้รวมทะลุหมื่นล้านอยู่ที่ 10,701 ลบ. เป็นผลจากธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและธุรกิจติดตามหนี้โตแรง บวกกับพลังของบริษัทในเครือภายใต้ กลยุทธ์ "The Power of Synergy" ด้าน JMT กำไรโตพีคสุดถึง 207% อยู่ที่ 290 ลบ. รายได้รวมอยู่ที่ 1,063.7 ลบ. จากความสำเร็จในการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ พร้อมจัดตั้ง บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จำกัด รุกธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ในกัมพูชา เตรียมขึ้นแท่นผู้นำในธุรกิจติดตามหนี้และบริหารหนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต ด้านบอร์ดใจดี JMART อนุมัติจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสดรวมอัตราหุ้นละ 0.18519 บาท และ JMT จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.66 บาท นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประจำปี 2559 (สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559) ทำสถิติในด้านผลการดำเนินงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 115 ล้านบาท หรือ 36% จากปี 2558 อยู่ที่ 323 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ ร้อยละ 4.1 และคิดเป็นอัตรากำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.81 ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 10,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,190 ล้านบาท หรือ 12.5% จากงวดปี 2558 อยู่ที่ 9,511 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ "The Power of Synergy" ของบริษัทภายในกลุ่มร่วมกัน โดยเฉพาะจากธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และธุรกิจติดตามหนี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยรายได้รวมที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลจาก รายได้ในธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทฯ มีสัดส่วนกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมด มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 9% หรืออยู่ที่ 9,082 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตมากกว่าภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศเมื่อสิ้นปี 2559 ที่เติบโตเพียง 5% และถือว่าเป็นปีที่ดีที่สุดในธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัทฯ จากการขายสินค้าผ่านหน้าร้านเจมาร์ทกว่า 200 สาขาแล้ว บริษัทฯ ยังสามารถขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านบริษัทในเครือที่หลากหลายและครอบคลุมที่สุดในประเทศไทย โดยในปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 1.13 ล้านเครื่อง ด้วยราคาเฉลี่ยต่อเครื่องที่สูงขึ้น ขณะที่รับรู้รายได้จากการให้บริการติดตามหนี้และบริการอื่นๆ ภายใต้การบริหารงานของบริษัทย่อย JMT อยู่ที่ 1,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 57.4% เนื่องจากความสามารถจัดเก็บหนี้ด้อยคุณภาพได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับรายได้ค่าเช่าภายใต้การบริหารงานของบริษัทย่อย J อยู่ที่ 525 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากการขยายพื้นที่เช่าและการเปิดศูนย์การค้าใหม่ได้ตาม ส่วนรายได้ค่าส่งเสริมการขายอยู่ที่ 438 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% และรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 74 ล้านบาท ลดลง 8% นอกเหนือจากการเติบโตอย่างโดดเด่นแล้ว เจมาร์ทยังมีนโยบายการจ่ายปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลเป็นหุ้นปันผลและเงินสด จากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ตามงบการเงินรวม ในงวดครึ่งปีหลังของปี 2559 เตรียมจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญของบริษัทจำนวนไม่เกิน 104,892,604 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในอัตรา 6 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 0.16666 บาทต่อหุ้น และจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.01853 บาทต่อหุ้น คิดเป็นการจ่ายปันผลรวมในครึ่งปีหลังในอัตราหุ้นละ 0.18519 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 17 เม.ย. 2560 และวันที่จ่ายปันผล 3 พ.ค. 2560 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.2222 บาท รวมเจมาร์ทจ่ายปันผลทั้งปี 2559 ในอัตราหุ้นละ 0.40739 บาท อย่างไรก็ตาม ในปี 2559 ที่ผ่านมา JMART ได้มีการปรับโครงสร้างกิจการ โดยโอนกิจการบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ให้กับ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2560 รวมทั้ง การรุกธุรกิจปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล โดยการเพิ่มทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด มูลค่า 1,100 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ถือหุ้นใน เจ ฟินเทค สัดส่วน 90.16% พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาซอฟ์ทแวร์ และการลงทุนในธุรกิจ Start-up ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจในกลุ่มของบริษัทฯ ซึ่งจะเป็นจุดแข็งสำคัญในการพัฒนาธุรกิจค้าปลีกของเจมาร์ท กรุ๊ป ให้แข็งแกร่งขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย มั่นใจจะสามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในอนาคต ด้านนายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT เปิดเผยถึงผลประกอบการในปี 2559 ที่ออกมาอย่างโดดเด่นทำสถิติกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯ อยู่ที่ 290 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 สูงถึง 207% ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 1,063.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.9 % จากปี 2558 อยู่ที่ 719.1 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการเรียกเก็บหนี้จากลูกหนี้ที่รับซื้อ , รายได้ดอกเบี้ยและรายได้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง รายได้จากการให้บริการติดตามหนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา และเป็นความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นปีที่บริษัทมียอดจัดเก็บได้สูงที่สุดเท่ากับ 1,026 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการ จากกลยุทธ์ที่วางไว้ และประสิทธิภาพในการติดตามหนี้ของพนักงานบริษัทฯ ตอกย้ำเบอร์หนึ่งในธุรกิจบริหารหนี้ได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำไรที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนเงินลงทุนในบริษัทย่อยจำนวน 143.9 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากธุรกรรมการปรับโครงสร้างบริษัทย่อย โดยผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้อนุมัติการสละสิทธิ์เพิ่มทุนในบริษัท เจ ฟินเทค จำกัด มูลค่า 1,100 ล้านบาท ให้เจมาร์ทเพิ่มทุนแทน ทำให้ภายหลังการเพิ่มทุน JMT คงเหลือสัดส่วนการลงทุนใน เจ ฟินเทค 9.84% และรับรู้เป็นเงินลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา สถาบันการเงินต่างๆ ขายหนี้เสียออกมาอย่างต่อเนื่อง และหนี้ด้อยคุณภาพส่วนใหญ่ที่ซื้อมามีคุณภาพมากขึ้น ทำให้ในปี 2559 บริษัทฯ สามารถซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีกเกือบ 2 หมื่นล้านบาท สนับสนุนให้หนี้ในพอร์ตทะลุ 1 แสนล้านบาทเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเป็นสินทรัพย์สำคัญของบริษัทในการติดตามหนี้เพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต พร้อมตั้งเป้างบลงทุนปีนี้ สำหรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารเพิ่มอีก 3 หมื่นล้านบาท หรือสิ้นปี 2560 มีพอร์ตบริหารหนี้แตะ 1.4 แสนล้านบาทได้สำเร็จ ด้านที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการงวดปี 2559 จ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.66 บาท หรือคิดเป็น 85% ของกำไรจากงบการเงินรวม โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับปันผล 19 เม.ย. 2560 วันปิดสมุดทะเบียน 20 เม.ย. 2560 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 17 เม.ย. 2560 และวันที่จ่ายปันผล 3 พ.ค. 2560 นอกจากนี้ เพื่อการขยายโอกาสในอนาคตของธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ CLMV ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท เจเอ็มที (กัมพูชา) จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจรับจ้างติดตามหนี้ และ Call Center โดยเป็นบริษัทที่จัดตั้งในประเทศกัมพูชา ทุนจดทะเบียน ประมาณ 30.6 ล้านบาท โดย JMT ถือหุ้น 100% ใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ด้วยเป้าหมายในการก้าวเป็นผู้นำในด้านการติดตามหนี้ และบริหารหนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต
แท็ก พีค  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ