IPO_INSIGHT DHOUSE ชูจุดแข็งชำนาญพื้นที่เบียดแบรนด์ใหญ่ ปักธงผู้นำอสังหาฯภาคอีสาน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday September 28, 2020 16:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ดีเฮ้าส์พัฒนา (DHOUSE) ปักธงสยายปีกขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของภาคอีสาน หลังสร้างความแข็งแกร่งจากประสบการณ์กว่า 10 ปีในการพัฒนาโครงการหลากหลายรูปแบบใน จ.มหาสารคาม ซึ่งถือเป็นเมืองศูนย์กลางการศึกษาในภาคอีสาน เล็งเป้าหมายหัวเมืองหลัก ชูจุดแข็งสำคัญคนท้องถิ่นชำนาญการหาที่ดินทำเลสวย-ราคาไม่แพงพร้อมกวาดเข้าเป็นแลนด์แบงก์หนุนการเติบโตในระยะยาว

DHOUSE เตรียมตัวเป็นหุ้นน้องใหม่ IPO อีกรายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ คาดว่าจะกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่จำนวน 217.20 ล้านหุ้นในช่วงต้นเดือน ต.ค.นี้ พร้อมเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วัตถุประสงค์การระดมทุนเพื่อใช้เป็นเงินลงทุนในการพัฒนาโครงการตามแผนธุรกิจและแผนการตลาด, ชำระคืนเงินกู้ และ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

นายอรรถ เลิศรุ้งพร กรรมการผู้จัดการ DHOUSE กล่าวว่า บริษัทมีความโดดเด่นจากการเป็นคนท้องถิ่นในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งรู้ว่าพื้นที่เศรษฐกิจของแต่ละจังหวัดเป็นอย่างไร และมีสายสัมพันธ์ที่ดีในการหาซื้อที่ดินที่เหมาะสมในการนำมาพัฒนาโครงการในแต่ละรูปแบบที่มีศักยภาพ โดยศึกษาโอกาสในหัวเมืองหลัก 4 จังหวัด คือ ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี และนครราชสีมา

"เราคงไปอุบลฯกับขอนแก่นก่อน เพราะเป็น 2 จังหวัดที่ชำนาญพื้นที่มากที่สุดรองจากมหาสารคาม เรารู้พื้นที่เศรษฐกิจของที่นั่นว่าพื้นที่ไหนดีพื้นที่ไหนไม่ดี มีคอนเน็คชั่นในการหาที่ดิน เพราะฉะนั้นเราจะไปสองที่นี้ก่อน หลังจากนั้นไปอุดรฯ และโคราช เรารู้จักโคราชหลายคนที่มีโอกาสทำงานร่วมกันได้ ในภาคอีสานเราเก่งเรื่องการหาที่ดินและชำนาญพื้นที่"นายอรรถ กล่าว

แม้ว่าการออกไปในจังหวัดใหญ่ขึ้นอาจจะต้องเจอกับคู่แข่งรายใหญ่ แต่นายอรรถ กล่าวว่า บริษัทสามารถหาที่ดินที่มีราคาต้นทุนต่ำกว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบรนด์ใหญ่ที่ขยายโครงการเข้ามาในพื้นที่ภาคอีสาน เพราะมีคอนเน็คชั่นที่ดีกว่า ดังนั้น แบรนด์ใหญ่หรือเล็กไม่ได้สำคัญมากนัก และราคาไม่ใช่วิธีการเดียวในการแข่งขัน แต่ขึ้นกับต้นทุน ทำเล และรูปแบบโครงการ

ขณะที่ด้านการตลาดก็เชื่อว่าสามารถสู้กันได้ เพราะธรรมชาติของลูกค้าในภาคอีสานต้องการเข้ามาสัมผัสโครงการที่ใกล้สร้างเสร็จหรือสร้างเสร็จแล้ว ไม่นิยมการชมโครงการผ่านออนไลน์ เพราะการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยถือว่าเป็นสินค้าราคาสูงที่ต้องมาดูคุณภาพของจริงเท่านั้น นอกจากนั้นบริษัทยังมีความชำนาญในการทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม อย่างเช่น กลุ่มบุคลากรทางการศึกษา หรือข้าราชการในพื้นที่

"ผมก็เหมือนคนในจังหวัดนั้นอยู่แล้ว แบรนด์ใหญ่แบรนด์เล็กไม่ได้สำคัญ เรามีคอนเน็คชั่น แบรนด์ใหญ่หาที่ดินสู้เราไม่ได้ การตลาดเราก็สู้ได้ เพราะออนไลน์มาร์เก็ตติ้งใช้น้อย คนยังติดกับการเข้ามาสัมผัส เพราะมันแพงสำหรับเขา ไม่เหมือน กทม.ที่เอาโชว์รูมเข้าไปในมือถือ เรามีการรบแบบกองโจร ไปปักหมุดตามร้านอาหาร เฉพาะกลุ่ม Unique แต่ละ Area ทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม"นายอรรถ กล่าว

*เปิดโครงการใหม่-รุกบ้านราคาย่อมเยาดันปีหน้าโตก้าวกระโดดหลังผ่านวิกฤติโควิด

นายอรรถ กล่าวว่า ผลงานในปีนี้คาดว่าจะทรงตัวจากปีก่อน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบในช่วง 2-3 เดือนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่หลังจากคลายล็อกดาวน์แล้วยอดการเข้าชมโครงการของลูกค้าและยอดขายกลับมาทำได้ดีมาก และเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท และปีหน้าจะดีขึ้นอีกเป็นผลจากการเปิดตัวโครงการใหม่ในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีที่ดินรองรับไว้แล้ว

นอกจากนั้น บริษัทยังจะกลับไปพัฒนาโครงการระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท/ยูนิต เป็นโครงการที่ผู้ซื้อจับต้องง่าย ซึ่งเคยประสบความสำเร็จอย่างมากในอดีต โดยจะเป็นบ้านแฝดชั้นเดียวเริ่มต้นจากพื้นที่ 40 ตารางวา 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน ระดับราคาราว 1.7-1.8 ล้านบาท จึงมั่นใจว่ายอดขายจะทำได้ดีเช่นเดิม โดยเจาะตลาดครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่มีขนาดเล็กลง

บริษัทยังมีแลนด์แบงก์ขนาดใหญ่กว่า 70 ไร่ ทำเลตรงข้ามหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสรูปแบบไฮบริด ผสมผสานทั้งโซนที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยจะทยอยเปิดทีละเฟส ด้านหน้าจะเป็นโซนตลาดนัดและสตรีทฟู้ด ผสมผสานกับร้านอาหารชื่อดังที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นนักศึกษา รวมทั้งยังศึกษาทำโครงการในรูปแบบให้เช่าด้วย

ทั้งนี้ DHOUSE มีโครงการตามแผนงาน ได้แก่ U Park เป็นบ้านเดี่ยว 249 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 40 ไร่ใน อ.กันทรวิชัย มูลค่าโครงการ 607.07 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายในไตรมาส 1/64 และ โครงการ แกรนด์ บิซ 2 เป็นอาคารพาณิชย์ขนาดกลาง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่เศษ ใน อ.เมืองมหาสารคาม มูลค่าโครงการ 127.60 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดขายในไตรมาส 2/64

ขณะที่ในช่วง 1-5 ปีข้างหน้ามีโครงการพัฒนาที่ดินแปลงอื่นๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้ากลุ่มที่หลากหลายเพิ่มขึ้น อาทิ โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม Low rise และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารที่มีการใช้งานแบบผสมผสาน (Mix Use) เป็นต้น โดยบริษัทมีที่ดินที่มีศักยภาพทำเลใกล้กับสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในจังหวัดที่เหมาะสมกับพัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ โดยโครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบ กำหนดแผนธุรกิจ และความเป็นไปได้ของโครงการ

"ช่วงนี้จริง ๆ ต้องดูแนวราบมากหน่อยแนวสูงน้อยหน่อย แต่เราก็ต้องคิดเตรียมตัวศึกษาทำแนวสูง ถ้าสร้างตอนเศรษฐกิจดีคงไม่ทัน แต่ต้องศึกษาเพื่อสร้างตอนที่เศรษฐกิจเกือบจะดีเพื่อให้เสร็จทันกับเศรษฐกิจดี จากข้อมูลสถิติท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นปี 65 เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวด้วย แสดงว่า 2-3 ปีเตรียมจะกลับมา ถ้าสร้างเสร็จมารับปี 66-67 ก็จะดีเลย"นายอรรถ กล่าว

ปัจจุบัน โครงการของ DHOUSE แบ่งสัดส่วนเป็น บ้านเดี่ยวราว 50% อาคารพาณิชย์ 20% และทาวน์โฮม 20% ณ วันที่ 31 มี.ค.63 บริษัทมีโครงการที่ขายหมดและปิดไปแล้ว 1 โครงการ และมีโครงการที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ 4 โครงการ คือ เดอะแกรนด์ เรสซิเดนซ์, เดอะ แกรนด์ คาแนล, แกรนด์ บิซ และ พฤกภิรมย์ ศาลากลาง

บริษัทมีทุนจดทะเบียนจำนวน 420.00 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 311.40 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบด้วย กลุ่มเลิศรุ้งพร ถือหุ้นรวมกัน 70.27% ภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO แล้วจะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 52.1% และกลุ่มแก้ววิศิษฎ์ ถือหุ้น 29.73% จะลดสัดส่วนลงเหลือ 22.04%

ผลประกอบการในช่วงปี 60 ปี 61 และ ปี 62 บริษัทมีรายได้จากการขาย 47.40 ล้านบาท 67.50 ล้านบาท และ 141.82 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีผลขาดทุนสุทธิ 5.71 ล้านบาทในปี 60 ก่อนจะพลิกเป็นกำไร 9.54 ล้านบาทในปี 61 มีอัตรากำไรขั้นต้น 60.27% อัตรากำไรสุทธิ 14.13% และปี 62 มีกำไร 40.71 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 53.21% อัตรากำไรสุทธิ 28.71%

ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้จากการขาย 46.78 ล้านบาท และมีกำไร 10.62 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 22.69% ณ วันที่ 30 มิ.ย.63 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 715.16 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 353.31 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 361.85 ล้านบาท

บริษัทได้กำหนดนโยบายจ่ายเงินปันผลในแต่ละปีในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินสำรองต่าง ๆ

*โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมายหุ้น DHOUSE ที่ 0.70-0.75

บริษัทหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแกนนำผู้จัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น DHOUSE ได้ออกบทวิเคราะห์และให้ราคาเป้าหมายราคาหุ้น ในปี 64 ดังนี้

          โบรกเกอร์                        ราคาเป้าหมาย (ปี 64)
          ฟิลลิป                                0.75
          โนมูระ พัฒนสิน                         0.70
          ยูโอบี เคย์เฮียน                        0.70
          ฟินันเซีย ไซรัส                         0.70
          อาร์เอชบี                             0.71

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินราคาพื้นฐานหุ้น DHOUSE ในปี 64 ที่ 0.75 บาท อิง P/E ที่ 8 เท่า เลือกวิธี P/E โดยเทียบกับ บมจ.คุณาลัย (KUN) โดยขนาดกิจการและลักษณะการทำธุรกิจใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างในขนาดพอร์ตโครงการ, แนวโน้มเติบโตของกำไร และ ROE ทางฝ่ายมอง P/E ที่เหมาะสมของ DHOUSE ต่ำกว่า KUN เล็กน้อยที่ 8 เท่า เทียบกับ 8.23 เท่า ทั้งนี้ คาดหมายเงินปันผลปี 63 และ 64 ที่ 0.02 บาท และ 0.04 บาท หรือ Yield 3% และ 5% อนึ่ง ประเมินมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่ 0.86 บาท

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า ความน่าสนใจของ DHOUSE คือมีความพร้อมทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนาในปัจจุบันและมีแผนเปิดโครงการใหม่ในอนาคต เพื่อรองรับโอกาสเติบโตของภาคอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคาม รวมถึงมีโอกาสเพิ่ม market share ได้ต่อเนื่อง โดยคาดกำไรสุทธิปี 63-65 เติบโตสูงเฉลี่ย 20% CAGR และทำ record high ต่อเนื่อง

Catalysts คือ มีโครงการอยู่ระหว่างพัฒนา 4 โครงการ และมีแผนเปิดใหม่ 2 โครงการ น่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตใน 2-4 ปีข้างหน้า รวมทั้ง GPM, NPM สูง จากความได้เปรียบด้านต้นทุนราคาที่ดินที่สะสมมา โดย Anchor themes คือคาดว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดมหาสารคามยังมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยส่วนสนับสนุนสำคัญมาจากการเติบโตของบุคลากรในภาคการศึกษา ทั้งนี้ บริษัทที่มีความพร้อมทั้งโครงการเหลือขายปัจจุบัน รวมถึงมีที่ดินรอพัฒนาในอนาคต น่าจะได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่น

ขณะที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) คาดว่าปีนี้กำไรของ DHOUSE จะหดตัวลง ก่อนกลับมาโตแกร่งในปี 64-65 โดยคาดว่าปี 63 กำไรจะหดตัวลง -13.7% yoy จากผลของฐานรายได้ที่สูงในปีก่อน ซึ่งเกิดจากการรับรู้ยอดโอนโครงการ แกรนด์ บิซ 1 ที่เข้ามามากถึง 52% ของมูลค่าโครงการสุทธิ (ประมาณ 103 ล้านบาท) ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 กระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ แต่กำไรจะกลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 62.3% และ 28% ในปี 64 และ 65 ตามลำดับ จากการทยอยรับรู้ยอดโอนโครงการใหม่

แม้รายได้จากโครงการ เดอะแกรนด์ เรสซิเดนซ์ จะหายไป จากยูนิตส่วนที่เหลือที่คาดว่าบริษัทจะสามารถขายและโอนได้หมดภายในปีหน้า แต่จะมีโครงการใหม่ ได้แก่ พฤกภิรมย์ คาดเริ่มเข้ามาในไตรมาส 4/63 ประกอบกับการเริ่มเปิดขายสองโครงการใหม่ ได้แก่ ยูพาร์ค และ แกรนด์ บิซ 2 ในช่วง H1/64 ด้วยจุดเด่นของโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่แข็งแกร่ง รวมถึงอยู่ใกล้กับโครงการเก่าที่ขายได้ดี (แกรนด์ บิซ 1) เชื่อว่าทั้งสามโครงการจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยหนุนผลประกอบการบริษัทให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ด้าน บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่ากำไรของ DHOUSE ในปี 64 จะฟื้นตัวในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มฯ รายได้หลักจะเกิดจาก 2 ใน 4 โครงการคือ แกรนด์คาแนล และ พฤกภิรมย์ คิดเป็นสัดส่วนประมาน 60% ของรายได้ทั้งหมด คาดว่าจะส่งผลให้รายได้ทั้งปี 63 ยังไม่โด่ดเด่น หรือ เติบโตเพียง 9% แต่ในปี 64 จะเกิดการการรับรู้รายได้จะมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากโครงการแกรนด์ คาแนล กอปรกับ 2 โครงการเดิม และโครงการใหม่ U Park โดยรายได้รวมจะเพิ่มขึ้น 81% คาดว่าผลกำไรสุทธิจะเติบโตสูงถึง 40%

บริษัทเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯที่มีอัตรากำไรสูงกว่าผู้ประกอบการในตลาด SET โดยมีอัตราขั้นต้นสูงกว่า 53% และอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 29% ในปี 61 สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนทั้งระบบรวมถึงต้นทุนที่ดินได้มีประสิทธิภาพ และสามารถเรียกราคาขายได้สูง

https://youtu.be/5aaXOnzirDI


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ