MEGA ตั้งเป้ารายได้-กำไร โต 2 เท่าในปี 68 เดินหน้าขยายตลาด-ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ,ศึกษาซื้อกิจการรง.ผลิตยาในอินโดฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 17, 2019 14:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ๊นซ์ (MEGA) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรเติบโตเป็น 2 เท่าภายในปี 68 จากปี 61 ที่มีรายได้ 1.05 หมื่นล้านบาทและกำไรสุทธิ 1.2 พันล้านบาท โดยกลยุทธ์จะเป็นการเติบโตเน้นไปที่การขยายโอกาสทางธุรกิจไปยังตลาดใหม่ ๆ ซึ่งเป้าหมายหลักยังคงเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีศักยภาพการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกากลางและตินอเมริกา แอฟริกาใต้เขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮารา และประเทศในเครือรัฐเอกราช (CIS)

ตั้งแต่ปีนี้บริษัทได้เริ่มเดินหน้าเปิดตลาดในประเทศเนปาล โคลัมเบีย รวมทั้งขยายตลาดในประเทศเอธิโอเปีย และประเทศอื่น ๆ ในแอฟริกามากขึ้น โดยคาดว่าตลาดในกลุ่มประเทศดังกล่าวจะเติบโตดีในอีก 5-7 ปีข้างหน้า รวมไปถึงวางแผนการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของบริษัทเพื่อเป็นช่องทางในการขยายตลาดและสร้างรายได้เข้ามาได้ทันที ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาซื้อกิจการโรงงานผลิตยาแห่งหนึ่งในปะเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตรในเมียนมา สัดส่วนการลงทุน 50:50 โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้า มีมูลค่าลงทุนราว 10-20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ บริษัทมองเห็นถึงการเติบโตของตลาดยาในอินโดนีเซีย ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากจำนวนประชากรในประเทศอินโดนีเซียที่มีจำนวนมาก และยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับการเข้าซื้อกิจการเป็นกระบวนการที่บริษัทสามารถมีรายได้กลับเข้ามาได้ทันที เมื่อเทียบกับการลงทุนโรงงานผลิตยาเอง เพราะจะใช้ระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน ทั้งการขออนุญาตผลิตและขายยา ก็จะทำให้รายได้เข้ามาช้า ซึ่งธุรกิจที่บริษัทเข้าไปซื้อกิจการนั้นเป็นธุรกิจที่มีใบอนุญาตผลิตและขายยาอยู่แล้ว ทำให้สามารถเดินหน้าขยายตลาดในอินโดนีเซียได้ทันที

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะขยายตลาดใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มประเทศแอฟริกา และกลุ่มประเทศละตินอเมริกาใหม่ แต่ตลาดในภูมิภาคเอเชียยังมีสัดส่วนที่มากสุด 73-75% เพราะในภูมิเอเชียมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จากจำนวนประชากรที่มาก และมีอัตราการเติบโตของประชากรในระดับสูง เมื่อเทียบกับอีก 2 ภูมิภาคใหม่ที่บริษัทขยายตลาดไป โดยเฉพาะตลาดในกลุ่มอาเซียนที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกค่อนข้างมากใน 5-6 ปี ซึ่งบริษัทได้เข้าไปลงทุนในเมียนมา กัมพูชา และเวียดนามมาก่อนหน้านี้ ทำให้เห็นการเติบโตของตลาดที่ต่อเนื่อง จึงได้กำหนดกลยุทธ์การขยายตลาดใหม่ของบริษัท จะเน้นไปที่ตลาดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาเป็นหลัก

นอกจากนี้ บริษัทยังเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมา เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและทำให้มีตัวเลือกมากขึ้น โดยได้ใช้เงินลงทุน 500 ล้านบาท จากงบลงทุนรวม 1.2 พันล้านบาท เพื่อขยายโรงงานใหม่ที่บางปู ซึ่งอยู่ติดกับโรงงานปัจจุบันของบริษัท โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) คลังเก็บสินค้า และโรงงานผลิตยาชนิดเหลว ซึ่งเป็นการเพิ่มประเภทใหม่สำหรับยาตามใบสั่งแพทย์และสมุนไพรสำหรับเด็กไว้ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทด้วย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการในช่วงไตรมาส 2/63 หรือไตรมาส 3/63

นายวิเวก กล่าวอีกว่า บริษัทยังจะใช้เงินลงทุน 600 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่ประเทศเมียนมา ภายใต้กิจการร่วมค้า เมก้า เอ็มเอสเอ็น ซึ่งโรงงานแห่งนี้คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 62 เพื่อผลิตยารักษาโรคใหม่ เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยารักษาโรคเบาหวาน และยารักษาโรคหัวใจ โดยคาดว่าจะสามารถวางจำหน่ายได้ในปี 65 หรือ 66 และยังได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมา เพื่อสนับสนุนธุรกิจโลจิสติกส์และการบริการกระจายสินค้า ซึ่งให้การบริหารสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย

ศูนย์กระจายสินค้านี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 และเป็นไปตามแนวทางการปฏิบัติด้านการจัดจำหน่ายที่ดีตามมาตรฐานโลก พร้อมกับระหว่างการก่อสร้างพื้นที่สำนักงานในประเทศเมียนมา เงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในเมียนมาที่เห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 62 เช่นเดียวกัน

สำหรับการลงทุนของบริษัทส่วนใหญ่ยังคงใช้เงินลงทุนจากกระแสเงินสดที่ยังมีเพียงพอ และอาจกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในบางการลงทุน อีกทั้งยังมีเงินจากการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ยังเหลืออยู่ ทำให้ในปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมในการลงทุนใหม่ ๆ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตได้อย่างมาก และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ต่ำราว 0.66 เท่า

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะเน้นไปที่การเติบโตด้วยตัวเองเป็นหลัก (Organic Growth) จากกลยุทธ์การขยายตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ๆ ออกมา โดยที่สัดส่วนรายได้ของบริษัทภายในปี 68 จะใกล้เคียงกับปัจจุบัน แบ่งเป็น สัดส่วนรายได้ที่มาจากแบรนด์ยาของบริษัทเอง 50% สัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจบริการโลจิสติกส์และกระจายสินค้าสำหรับยาและสินค้าอุปโภคบริโภค 46-48% และสัดส่วนรายได้จากการรับจ้างผลิต 2-4%

ด้านความคืบหน้าในการดำเนินงานของบริษัท เมก้า มาลี จำกัด บริษัทร่วมทุนระหว่าง MEGA และบมจ.มาลีกรุ๊ป (MALEE) ขณะนี้ได้มีผลิตภัณฑ์แบรนด์ DR.DRINK ออกสู่ตลาดแล้ว 2 รายการ ได้แก่ AK-TIV และ D-GEST เครื่องดื่มทั้ง 2 รายการดังกล่าวผลิตจากส่วนผสมจากพืช 100% (plant-based ingredients) ปราศจากสารเคมี

สำหรับในปี 62 บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะเติบโตได้ 8-10% ตามเป้าหมาย ซึ่งปัจจัยผลักดันรายได้มาจาก การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจในประเทศไทย เมียนมา เวียดนาม และกัมพูชา ที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจตลาดในภูมิภาคอาเซียนของบริษัทอย่างแท้จริง รวมถึงการเข้าซื้อกิจการบริษัทไบโอ-ไลฟ์ มาร์เก็ตติ้ง เอสดีเอ็น บีเอชดี หนึ่งในบริษัทอาหารเสริมสุขภาพชั้นนำของประเทศมาเลเซีย และการได้มาซึ่งสิทธิความเป็นเจ้าของในผลิตภัณฑ์ยาของบริษัท แซนดอส จีเอ็มบีเอช (Sandoz GmbH) ในประเทศเมียนมาและประเทศเอธิโอเปีย เป็นการก้าวเดินทางธุรกิจที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะเติบโตในระดับภูมิภาคของเมก้าที่ชัดเจน

นอกจากนี้การออกผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับบรรเทาอาการเจ็บปวด อาการภูมิแพ้ และสุขภาพทางเดินอาหาร รวมถึงยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูจิก้า (Eugica) เพื่อบรรเทาอาการไอจากหวัด กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทางการแพทย์ และไบโอไลฟ์ โพรไบโอติกส์ และยาตามใบสั่งแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีโอกาสเติบโตสูง ต่างมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และปีนี้บริษัทมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อีกกว่า 10 รายการ ซึ่งจะทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ