คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยสำนักเลขาธิการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือ 5 จังหวัด และสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทย (ข้อมูลถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549) นำเรียนคณะรัฐมนตรีเพื่อโปรดทราบ ดังนี้
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549)
1.1 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดสร้างเต็นท์ พักอาศัยชั่วคราวเสร็จแล้ว จำนวน 292 หลัง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ดังนี้
(1) อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 127 หลัง
(2) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 48 หลัง
(3) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 67 หลัง
(4) ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 50 หลัง
1.2 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดสร้างบ้านพักชั่วคราว (บ้านน็อคดาวน์) ของ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ที่บ้านแม่คุ หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 24 หลัง
1.3 การเตรียมพื้นที่รองรับการสร้างบ้านพักถาวรใน 3 จังหวัดการก่อสร้างบ้านประกอบสำเร็จรูป (บ้านน็อคดาวน์) มูลนิธิไทยคมได้ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมที่ดินจัดวางผังหมู่บ้าน/ชุมชน ให้มีความเหมาะสมและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ดังนี้
(1) จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสูงเม่น จำนวน 23 หลัง สำหรับอำเภอเมือง จำนวน 104 หลัง และอำเภอเด่นชัย จำนวน 8 หลัง โดยใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
(2) จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้จัดเตรียมที่ดินรองรับเบื้องต้นแล้ว ดังนี้ ในที่ดินของนิคมสร้างตนเอง ลำน้ำน่าน อ.ท่าปลา 2 แปลง ที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ อ.เมืองฯ 3 แปลง และลับแล 2 แปลง รวม 7 แปลง เนื้อที่ 1,521 ไร่ โดยราษฎรประสงค์ให้จัดสร้างบ้านในที่ดินที่ราชการจัดให้ 346 หลัง และสร้างในที่ดินตนเอง 268 หลัง
(3) จังหวัดสุโขทัย จำนวน 73 หลัง (อำเภอศรีสัชนาลัย) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต.บ้านตึก
1.4 ความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านถาวรของมูลนิธิไทยคม เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านน็อคดาวน์ ของมูลนิธิไทยคมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เฟสแรก รวม 82 หลัง ดังนี้
(1) ที่บ้านน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านกวาง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ จำนวน 23 หลัง
(2) ที่นิคมลำน้ำน่าน บ้านปากทับ หมู่ที่ 7 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 20 หลัง
(3) ที่ม่อนนางแหลม ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 20 หลัง
(4) ที่บ้านห้วยกุ่มไทยคม หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 19 หลัง
1.5 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
- ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 91,109,978 บาท แยกได้ดังนี้
- ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย เป็นเงิน 1,920,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 25 ราย เป็นเงิน 750,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,045 ราย เป็นเงิน 2,196,000 บาท
- ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 4,985 ราย เป็นเงิน 51,692,121 บาท
- ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 30 ราย เป็นเงิน 265,800 บาท
- ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 715 ราย เป็นเงิน 771,800 บาท
- ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 18,602,498 บาท
- ค่าอื่น ๆ เป็นเงิน 14,911,759 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 16,487,090 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 6,497,970 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 114,095,038 บาท
- การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2549 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 291 ราย เป็นเงิน 3,186,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 806 ราย เป็นเงิน 9,428,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 2,885 ราย เป็นเงิน 35,989,340 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,982 ราย เป็นเงิน 48,604,720 บาท
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างวันที่ 1 — 31 กรกฎาคม 2549)
ระหว่างวันที่ 1 — 31 กรกฎาคม 2549 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย เป็นเหตุให้มีฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 1 — 31 กรกฎาคม 2549 ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.1 พื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 20 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี นครราชสีมา อุดรธานี นครพนม ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง กระบี่ สุราษฎร์ธานี ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง รวม 56 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 157 ตำบล 464 หมู่บ้าน
2.2 ความเสียหาย
1) ด้านชีวิต ราษฎรเดือดร้อน 44,139 คน 12,501 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 4 คน (จ.แม่ฮ่องสอน 1 คน สตูล 2 คน และตรัง 1 คน) สูญหาย 1 คน (จ.ลำปาง)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 198 หลัง ถนน 163 สาย สะพาน 4 แห่ง พื้นที่การเกษตร 54,436 ไร่ ปศุสัตว์ 1,143 ตัว
3) มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.3 สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน (ณ วันที่ 31 ก.ค. 2549) สรุปได้ดังนี้
(1) พื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว รวม 17 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครราชสีมา อุดรธานี นครพนม ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง สุราษฎร์ธานี กระบี่ และเชียงราย
2) พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์ รวม 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี เชียงใหม่ จังหวัดลำปาง
2.1) จังหวัดปราจีนบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
1. อำเภอประจันตคาม มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มทางการเกษตรของตำบลประจันตคาม (หมู่ที่ 6, 8) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม. (ระดับน้ำทรงตัว) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 425 ครัวเรือน ถนน 7 สาย พื้นที่ทางการเกษตร 2,600 ไร่
2. อำเภอเมือง มีน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรของตำบลโคกไม้ลาย บ้านหนองเข้ (หมู่ที่ 7) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10 ม.
2.2) จังหวัดเชียงใหม่ เกิดฝนตกหนัก เมื่อคืนวันที่ 30 กรกฎาคม 2549 วัดปริมาณฝนที่อำเภอเมือง 96 มม. ดอยสุเทพ 51 มม. และที่อำเภอสันกำแพง 117 มม. ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ดังนี้
1. อำเภอเมือง บริเวณไนท์บาร์ซ่า ถนนท่าแพ ชุมชนฟ้าใหม่ศรีปิงเมือง ระดับน้ำท่วมสูงประมาณ 0.20 ม.
2. อำเภอสันกำแพง มีฝนตกหนัก ส่งผลให้น้ำในลำน้ำแม่ออนไหลเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม. หากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มคาดว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติภายใน 1 วัน
3. อำเภอหางดง ได้เกิดน้ำท่วมขังบริเวณห้างโลตัสหางดง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
4. อำเภอแม่ริม เกิดน้ำท่วมขัง 7 ตำบล ได้แก่ ตำบลดอนแก้ว ตำบลสะลวง ตำบลขี้เหล็ก ตำบลริมเหนือ ตำบลริมใต้ ตำบลห้วยทราย และตำบลสันโข่ง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30 — 0.50 ม.
5. อำเภอแม่แตง ได้เกิดดินสไลด์ บริเวณถนนสายปาย-แม่มาลัย กม.ที่ 24-25 ขณะนี้แขวงการทางแม่แตงได้นำเครื่องจักรกลเข้าเปิดเส้นทางแล้ว
6. อำเภอสันป่าตอง ได้เกิดน้ำท่วมขังที่บ้านโรงวัว (หมู่ที่ 1)ตำบลบ่อหลวง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
2.3) จังหวัดลำปาง เกิดฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดลำปาง เมื่อคืนวันที่ 30 กรกฎาคม 2549 ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
1. อำเภอแม่เมาะ เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรตำบลจางเหนือ และตำบลนาสัก มีราษฎรสูญหาย 1 คน ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
2. อำเภอห้างฉัตร เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรตำบลเวียงตาล ที่บ้านปางปง บ้านปางทราย และตำบลปงยางคก ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
3. การตรวจติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำเพชรบุรี
3.1 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายพงศ์เผ่า เกษทอง) พร้อมคณะ ได้เดินทางไปประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักงานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี (เขื่อนเพชร) เพื่อติดตาม สถานการณ์น้ำที่เขื่อนแก่งกระจาน และพิจารณาแผนการระบายน้ำผ่านเขื่อนเพชร โดยเร่งระบายน้ำจากเขื่อนแก่งกระจาน วันละ 104 ลบ.ม./วินาที อย่างต่อเนื่องอีก 30 วัน เพื่อลดระดับน้ำในเขื่อนให้เหลือประมาณ 70% ของความจุ เพื่อรอรับน้ำหลากในเดือนตุลาคม 2549 จากนั้นได้บินตรวจสภาพคลองระบายน้ำชลประทานในพื้นที่อำเภอท่ายาง อำเภอเมือง และอำเภอบ้านแหลม โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการสรุปได้ดังนี้
1) ให้เร่งระบายน้ำในเขื่อนแก่งกระจานจากความจุ 102% ให้เหลือ 70% โดยระบายน้ำผ่านแม่น้ำเพชรบุรีและคลองชลประทานทั้ง 3 สาย
2) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยดูแลและขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ
3) ให้กรมทางหลวงแก้ไขปัญหาการก่อสร้างขยายถนนเพชรเกษมจาก วังมะนาว (อำเภอเขาย้อย) — อำเภอเมืองเพชรบุรี ในช่วงที่มีการก่อสร้างสะพาน/ท่อลอด ที่กีดขวางทางระบายน้ำ โดยให้ผู้รับเหมารื้อถอนไม้แบบและขยายช่องระบายน้ำที่ผ่านถนนเพชรเกษมให้กว้างขึ้น
4) ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดหาไซเรนแบบมือหมุนให้แก่หมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่ม (สีแดง) ของจังหวัดเพชรบุรีเพิ่มเติม จำนวน 16 เครื่อง (ปัจจุบันมีแล้ว 7 เครื่อง) และให้จัดการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อซ้อมการอพยพในหมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่มสูง จำนวน 23 หมู่บ้านด้วย
3.2 ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรี เขื่อนแก่งกระจาน (เมื่อวันที่ 31 ก.ค.49) มีปริมาณน้ำ 704 ลบ.ม. (คิดเป็น 99.16%) มีการระบายน้ำ 104 ลบ.ม./วินาที (หากเกิน 140 ลบ.ม./วินาที จะล้นตลิ่งฝั่งซ้ายบริเวณบ้านบ่อตะกั่ว อ.ท่ายาง) ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีที่ตัวเมืองเพชรบุรีสูง 4.60 ม. ต่ำกว่าตลิ่ง 1.20 ม. และมีแนวโน้มลดลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 สิงหาคม 2549--จบ--
1. สรุปผลความก้าวหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มภาคเหนือของกระทรวงมหาดไทย (จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549)
1.1 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดสร้างเต็นท์ พักอาศัยชั่วคราวเสร็จแล้ว จำนวน 292 หลัง ให้แก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ ดังนี้
(1) อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 127 หลัง
(2) อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 48 หลัง
(3) อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 67 หลัง
(4) ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 50 หลัง
1.2 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้จัดสร้างบ้านพักชั่วคราว (บ้านน็อคดาวน์) ของ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก ที่บ้านแม่คุ หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 24 หลัง
1.3 การเตรียมพื้นที่รองรับการสร้างบ้านพักถาวรใน 3 จังหวัดการก่อสร้างบ้านประกอบสำเร็จรูป (บ้านน็อคดาวน์) มูลนิธิไทยคมได้ดำเนินการในพื้นที่ที่มีความพร้อมแล้ว โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองร่วมกับกรมที่ดินจัดวางผังหมู่บ้าน/ชุมชน ให้มีความเหมาะสมและมีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ดังนี้
(1) จังหวัดแพร่ ที่อำเภอสูงเม่น จำนวน 23 หลัง สำหรับอำเภอเมือง จำนวน 104 หลัง และอำเภอเด่นชัย จำนวน 8 หลัง โดยใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
(2) จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้จัดเตรียมที่ดินรองรับเบื้องต้นแล้ว ดังนี้ ในที่ดินของนิคมสร้างตนเอง ลำน้ำน่าน อ.ท่าปลา 2 แปลง ที่ดินสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ อ.เมืองฯ 3 แปลง และลับแล 2 แปลง รวม 7 แปลง เนื้อที่ 1,521 ไร่ โดยราษฎรประสงค์ให้จัดสร้างบ้านในที่ดินที่ราชการจัดให้ 346 หลัง และสร้างในที่ดินตนเอง 268 หลัง
(3) จังหวัดสุโขทัย จำนวน 73 หลัง (อำเภอศรีสัชนาลัย) ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ต.บ้านตึก
1.4 ความก้าวหน้าในการก่อสร้างบ้านถาวรของมูลนิธิไทยคม เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) พร้อมคณะฯ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีส่งมอบบ้านน็อคดาวน์ ของมูลนิธิไทยคมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ เฟสแรก รวม 82 หลัง ดังนี้
(1) ที่บ้านน้ำพุ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านกวาง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ จำนวน 23 หลัง
(2) ที่นิคมลำน้ำน่าน บ้านปากทับ หมู่ที่ 7 ตำบลผาเลือด อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 20 หลัง
(3) ที่ม่อนนางแหลม ตำบลฝายหลวง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 20 หลัง
(4) ที่บ้านห้วยกุ่มไทยคม หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านตึก อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 19 หลัง
1.5 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคเหนือ ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย
- ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ก.ค. 2549 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
(1) ด้านการช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 91,109,978 บาท แยกได้ดังนี้
- ค่าด้านการจัดการศพ จำนวน 88 ราย เป็นเงิน 1,920,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือญาติผู้สูญหาย จำนวน 25 ราย เป็นเงิน 750,000 บาท
- ค่าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ จำนวน 1,045 ราย เป็นเงิน 2,196,000 บาท
- ค่าที่อยู่อาศัย จำนวน 4,985 ราย เป็นเงิน 51,692,121 บาท
- ค่าเครื่องมือ/ทุนประกอบอาชีพ จำนวน 30 ราย เป็นเงิน 265,800 บาท
- ค่าเครื่องนุ่งห่ม จำนวน 715 ราย เป็นเงิน 771,800 บาท
- ค่าอาหารจัดเลี้ยง จำนวน 237,491 ราย เป็นเงิน 18,602,498 บาท
- ค่าอื่น ๆ เป็นเงิน 14,911,759 บาท
(2) ด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นเงิน 16,487,090 บาท
(3) ด้านการปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นเงิน 6,497,970 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 114,095,038 บาท
- การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ประเภทผู้ประกอบการรายย่อย (ข้อมูล ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2549 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น)
(1) จังหวัดแพร่ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 291 ราย เป็นเงิน 3,186,605 บาท
(2) จังหวัดสุโขทัย จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 806 ราย เป็นเงิน 9,428,775 บาท
(3) จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 2,885 ราย เป็นเงิน 35,989,340 บาท
รวมจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว จำนวน 3,982 ราย เป็นเงิน 48,604,720 บาท
2. สรุปสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ (ระหว่างวันที่ 1 — 31 กรกฎาคม 2549)
ระหว่างวันที่ 1 — 31 กรกฎาคม 2549 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย เป็นเหตุให้มีฝนตกหนักมากตั้งแต่วันที่ 1 — 31 กรกฎาคม 2549 ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ่งสาธารณประโยชน์และทรัพย์สินของประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก
2.1 พื้นที่ประสบอุทกภัย รวม 20 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ปราจีนบุรี นครราชสีมา อุดรธานี นครพนม ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง กระบี่ สุราษฎร์ธานี ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงราย เชียงใหม่ และลำปาง รวม 56 อำเภอ 2 กิ่งอำเภอ 157 ตำบล 464 หมู่บ้าน
2.2 ความเสียหาย
1) ด้านชีวิต ราษฎรเดือดร้อน 44,139 คน 12,501 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 4 คน (จ.แม่ฮ่องสอน 1 คน สตูล 2 คน และตรัง 1 คน) สูญหาย 1 คน (จ.ลำปาง)
2) ด้านทรัพย์สิน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 198 หลัง ถนน 163 สาย สะพาน 4 แห่ง พื้นที่การเกษตร 54,436 ไร่ ปศุสัตว์ 1,143 ตัว
3) มูลค่าความเสียหาย อยู่ระหว่างการสำรวจ
2.3 สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน (ณ วันที่ 31 ก.ค. 2549) สรุปได้ดังนี้
(1) พื้นที่ที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว รวม 17 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด นครราชสีมา อุดรธานี นครพนม ตาก แม่ฮ่องสอน เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สตูล ตรัง สุราษฎร์ธานี กระบี่ และเชียงราย
2) พื้นที่ที่ยังคงมีสถานการณ์ รวม 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี เชียงใหม่ จังหวัดลำปาง
2.1) จังหวัดปราจีนบุรี ยังคงมีน้ำท่วมขังในพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
1. อำเภอประจันตคาม มีน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มทางการเกษตรของตำบลประจันตคาม (หมู่ที่ 6, 8) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม. (ระดับน้ำทรงตัว) ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 425 ครัวเรือน ถนน 7 สาย พื้นที่ทางการเกษตร 2,600 ไร่
2. อำเภอเมือง มีน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรของตำบลโคกไม้ลาย บ้านหนองเข้ (หมู่ที่ 7) ระดับน้ำสูงประมาณ 0.10 ม.
2.2) จังหวัดเชียงใหม่ เกิดฝนตกหนัก เมื่อคืนวันที่ 30 กรกฎาคม 2549 วัดปริมาณฝนที่อำเภอเมือง 96 มม. ดอยสุเทพ 51 มม. และที่อำเภอสันกำแพง 117 มม. ทำให้เกิดน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ดังนี้
1. อำเภอเมือง บริเวณไนท์บาร์ซ่า ถนนท่าแพ ชุมชนฟ้าใหม่ศรีปิงเมือง ระดับน้ำท่วมสูงประมาณ 0.20 ม.
2. อำเภอสันกำแพง มีฝนตกหนัก ส่งผลให้น้ำในลำน้ำแม่ออนไหลเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่การเกษตร ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม. หากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มคาดว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติภายใน 1 วัน
3. อำเภอหางดง ได้เกิดน้ำท่วมขังบริเวณห้างโลตัสหางดง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
4. อำเภอแม่ริม เกิดน้ำท่วมขัง 7 ตำบล ได้แก่ ตำบลดอนแก้ว ตำบลสะลวง ตำบลขี้เหล็ก ตำบลริมเหนือ ตำบลริมใต้ ตำบลห้วยทราย และตำบลสันโข่ง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.30 — 0.50 ม.
5. อำเภอแม่แตง ได้เกิดดินสไลด์ บริเวณถนนสายปาย-แม่มาลัย กม.ที่ 24-25 ขณะนี้แขวงการทางแม่แตงได้นำเครื่องจักรกลเข้าเปิดเส้นทางแล้ว
6. อำเภอสันป่าตอง ได้เกิดน้ำท่วมขังที่บ้านโรงวัว (หมู่ที่ 1)ตำบลบ่อหลวง ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
2.3) จังหวัดลำปาง เกิดฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดลำปาง เมื่อคืนวันที่ 30 กรกฎาคม 2549 ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ 2 อำเภอ ได้แก่
1. อำเภอแม่เมาะ เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรตำบลจางเหนือ และตำบลนาสัก มีราษฎรสูญหาย 1 คน ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
2. อำเภอห้างฉัตร เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรตำบลเวียงตาล ที่บ้านปางปง บ้านปางทราย และตำบลปงยางคก ระดับน้ำสูงประมาณ 0.20 ม.
3. การตรวจติดตามการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในลุ่มน้ำเพชรบุรี
3.1 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2549 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (นายพงศ์เผ่า เกษทอง) พร้อมคณะ ได้เดินทางไปประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ สำนักงานโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรี (เขื่อนเพชร) เพื่อติดตาม สถานการณ์น้ำที่เขื่อนแก่งกระจาน และพิจารณาแผนการระบายน้ำผ่านเขื่อนเพชร โดยเร่งระบายน้ำจากเขื่อนแก่งกระจาน วันละ 104 ลบ.ม./วินาที อย่างต่อเนื่องอีก 30 วัน เพื่อลดระดับน้ำในเขื่อนให้เหลือประมาณ 70% ของความจุ เพื่อรอรับน้ำหลากในเดือนตุลาคม 2549 จากนั้นได้บินตรวจสภาพคลองระบายน้ำชลประทานในพื้นที่อำเภอท่ายาง อำเภอเมือง และอำเภอบ้านแหลม โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้มีข้อสั่งการสรุปได้ดังนี้
1) ให้เร่งระบายน้ำในเขื่อนแก่งกระจานจากความจุ 102% ให้เหลือ 70% โดยระบายน้ำผ่านแม่น้ำเพชรบุรีและคลองชลประทานทั้ง 3 สาย
2) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นช่วยดูแลและขจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ
3) ให้กรมทางหลวงแก้ไขปัญหาการก่อสร้างขยายถนนเพชรเกษมจาก วังมะนาว (อำเภอเขาย้อย) — อำเภอเมืองเพชรบุรี ในช่วงที่มีการก่อสร้างสะพาน/ท่อลอด ที่กีดขวางทางระบายน้ำ โดยให้ผู้รับเหมารื้อถอนไม้แบบและขยายช่องระบายน้ำที่ผ่านถนนเพชรเกษมให้กว้างขึ้น
4) ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดหาไซเรนแบบมือหมุนให้แก่หมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่ม (สีแดง) ของจังหวัดเพชรบุรีเพิ่มเติม จำนวน 16 เครื่อง (ปัจจุบันมีแล้ว 7 เครื่อง) และให้จัดการฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อซ้อมการอพยพในหมู่บ้านเสี่ยงภัยดินถล่มสูง จำนวน 23 หมู่บ้านด้วย
3.2 ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรี เขื่อนแก่งกระจาน (เมื่อวันที่ 31 ก.ค.49) มีปริมาณน้ำ 704 ลบ.ม. (คิดเป็น 99.16%) มีการระบายน้ำ 104 ลบ.ม./วินาที (หากเกิน 140 ลบ.ม./วินาที จะล้นตลิ่งฝั่งซ้ายบริเวณบ้านบ่อตะกั่ว อ.ท่ายาง) ระดับน้ำในแม่น้ำเพชรบุรีที่ตัวเมืองเพชรบุรีสูง 4.60 ม. ต่ำกว่าตลิ่ง 1.20 ม. และมีแนวโน้มลดลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) (รักษาการนายกรัฐมนตรี) วันที่ 1 สิงหาคม 2549--จบ--