“ผมได้เสนอต่อที่ประชุมว่าประเทศเมียนมาอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและมีการลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปัจจุบันมีบริษัทประกันภัยเพียงบริษัทเดียว ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลเมียนมา จึงถือว่ามีศักยภาพการเติบโตในสาขาด้านประกันภัยในอนาคต ดังนั้นธุรกิจประกันภัยไทย ซึ่งมีพื้นฐานที่ดีกว่าจึงควรถือโอกาสนี้ ดำเนินยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อเข้าไปลงทุนหรือขยายธุรกิจประกันภัยหรือให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ในเมียนมา อย่างเป็นรูปธรรม ถึงแม้ว่าในขณะนี้ยังไม่ได้เปิดให้ต่างชาติเข้าไปเปิดบริษัทประกันภัย แต่ในอนาคตอันใกล้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเปิดเสรีด้านการประกันภัย โดยอุปสรรคสำคัญของการเข้าไปจัดตั้งธุรกิจประกันภัยในเมียนมาคือต้องมีเงินทุนจดทะเบียนสูง ซึ่งอาจต้องเป็นบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่ตามกฎกติกาที่เมียนมากำหนดไว้ แต่ก็มั่นใจว่าหากมีการเปิดเสรีด้านการประกันภัย ภาคธุรกิจประกันภัยของไทยก็มีศักยภาพมากพอที่จะเข้าไปลงทุนได้ ซึ่งขณะนี้ในส่วนของคปภ.ได้ออกประกาศสำนักงานคปภ. เรื่องแนวปฎิบัติการขอรับความเห็นชอบการถือตราสารทุนเพื่อการร่วมทุนในธุรกิจประกันภัยต่างประเทศของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจประกันภัยในลักษณะการร่วมทุนในธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคอาเซียน และคปภ.ยังได้ออกประกาศสำนักงานคปภ.เรื่องแนวปฎิบัติการขอรับความเห็นชอบจัดตั้งสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศของบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยมีบทบาทต่อการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่งเสริมการเชื่อมโยงและขยายธุรกิจประกันภัยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันอันเป็นการเตรียมกฎเกณฑ์รองรับไว้แล้ว”
จึงได้เสนอต่อที่ประชุมฯให้เพิ่มประเด็นเรื่องประกันภัยให้เป็นหัวข้อในกรอบการเจรจากับเมียนมาเกี่ยวกับการลงในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยควรผลักดันให้บริษัทประกันภัยไทยสามารถเข้าไปรับประกันภัยภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษได้ ซึ่งอาจใช้รูปแบบเดียวกันกับที่เมียนมาให้ใบอนุญาตบริษัทประกันภัยของญี่ปุ่นที่เข้าไปรับประกันภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษติละวา รวมทั้งไทยจำเป็นต้องยกระดับความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับ
ดูแลธุรกิจประกันภัยของสองประเทศโดยผ่านความร่วมมือระหว่าง สำนักงาน คปภ. กับ Regulatory ด้านประกันภัยของเมียนมา ในการหารือ แลกเปลี่ยน ประสานงาน ความร่วมมือกันโดยตรงเพื่อปรับกฎกติกาให้สอดคล้องกัน หรือการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่เมียนมา ซึ่งจะทำให้ทั้งสองประเทศมีความร่วมมือทางด้านธุรกิจประกันภัยอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็เสนอให้รัฐบาลไทยสร้างแรงจูงใจให้บริษัทประกันภัยไทยเข้าไปทำธุรกิจในเมียนมา โดยใช้มาตรการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเป็นการส่งเสริมบริษัทประกันภัยไทยอีกทางหนึ่งด้วย
“รู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณอย่างยิ่ง ที่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯมีมติเห็นด้วยที่จะเพิ่มเติมประเด็นเรื่องการประกันภัยเป็นหัวข้อในการเจรจา โดยได้มอบหมายให้คณะทำงานชุดเล็กประสานข้อมูลด้านธุรกิจประกันภัยกับคปภ.เพื่อบรรจุธุรกิจประกันภัยเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่จะนำไปหารือกับฝ่ายเมียนมาในการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายต่อไป”
เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า เมื่อภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนบริษัทประกันภัยที่จะเปิดตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งรวมทั้งเมียนมาแล้ว ธุรกิจประกันภัยของไทยก็ควรจะใช้โอกาสนี้เร่งปรับตัว และศึกษาลู่ทางการเข้าไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย รวมทั้งคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่จะเข้าไปรองรับในตลาดนี้ เพื่อไม่ให้ธุรกิจประกันภัยต้องเสียโอกาสเหมือนในอดีตที่ผ่านมา หากผลการหารือในเวทีนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะทำให้ธุรกิจประกันภัยไทยได้รับประโยชน์โดยสามารถเข้าไปรับประกันภัยในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายได้ ซึ่งจะเป็นก้าวที่สำคัญในการเพิ่มศักยภาพที่จะแข่งขันในตลาดอาเซียนอีกด้วย
ที่มา: http://www.oic.or.th