รัฐบาลพร้อมรับเรื่องที่ สปช.เห็นว่ารัฐบาลสามารถสนับสนุนได้ไปปฏิบัติโดยทันที

ข่าวทั่วไป Tuesday November 25, 2014 14:34 —สำนักโฆษก

รองโฆษกรัฐบาลเผยรัฐบาลพร้อมรับเรื่องที่ สปช.เห็นว่ารัฐบาลสามารถสนับสนุนได้ไปปฏิบัติโดยทันที พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรีฝากกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ คพ.จ่ายเงินเกือบหมื่นล้านบาทเป็นอุทาหรณ์แก่ข้าราชการประจำที่ทำตามคำสั่งข้าราชการการเมืองทำให้ส่งผลกระทบต่อส่วนราชการ

วันนี้ (25 พ.ย.57) เวลา 14.40 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ ร้อยเอก ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า วันนี้นายกรัฐมนตรีได้ปรารภและสั่งการให้แนวทางต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้ 1) เรื่องการประชุมของแม่น้ำ 5 สาย (รัฐบาล คสช. สนช. สปช. คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ) ซึ่งที่ประชุมกล่าวว่าวันนี้บางกลุ่มบางส่วนมีความพยายามจะกวนน้ำให้ขุ่น เพราะฉะนั้นเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ คสช. ซึ่งเป็นผู้ดูแลความมั่นคงจะต้องดูแลเรื่องดังกล่าว โดยถ้าเป็นเรื่องเล็กก็อย่าให้ขยายเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรื่องใดก็ตามที่มีแนวโน้มหรือส่งผลที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งในวงกว้างขึ้นก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย เริ่มจากมาตรการเบาไปหาหนัก ด้วยการชี้แจงทำความเข้าใจกันก่อนแล้วถึงดำเนินการไปตามขั้นตอนไป

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศต้องสร้างความเข้าใจกับต่างประเทศอีกทางหนึ่งด้วยว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราไม่ได้ไปรุกล้ำสิทธิ์ของใคร ซึ่งต้องสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจ สำหรับการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่อยู่ในวงการเมืองที่เป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง คงต้องทำความเข้าใจกันถ้าเป็นการแสดงวาทกรรมเท่านั้น แต่หากพูดแล้วทำให้บางกลุ่ม บางฝ่ายที่มีความคิดเห็นแล้วออกมาเคลื่อนไหวและก่อให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น คนพูดต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตามการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวจะเริ่มต้นตั้งแต่การทำความเข้าใจก่อน แต่หากไม่ลงตัวอาจจะต้องดำเนินการทางด้านอื่นไปตามขั้นตอน เช่น ติดตามเส้นทางด้านการเงิน การสืบสวน สอบสวนเพื่อระงับธุรกรรมทางการเงิน การห้ามออกนอกประเทศ เป็นต้น

พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. ยังได้ประสานไปยังสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ว่าอยากให้ สปช. ได้รับข้อสังเกตและข้อคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความคิดที่หลากหลาย ขณะเดียวกันต้องติดตามหลักการทั้งหลายที่ประเทศอื่น ๆ ใช้ด้วย เพราะถ้าฟังความคิดเห็นอย่างเดียวโดยไม่มีแนวทางหรือกรอบไว้ในเบื้องต้น ถึงพูดคุยอย่างไรก็ไม่ลงตัว เพราะฉะนั้นต้องทำในลักษณะของการรับฟังข้อคิดเห็นจากหลายภาคส่วนและมีกรอบแนวทางตามประเทศอื่น ๆ ที่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความขัดแย้งได้มาเป็นกรอบประกอบการดำเนินการด้วย

อย่างไรก็ตามเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ สปช.รับมาพิจารณาดำเนินการแล้ว และเห็นว่ารัฐบาลสามารถที่จะสนับสนุนส่งเสริมให้สามารถนำเรื่องต่าง ๆ ไปปฏิบัติได้ทันทีขอให้ส่งมายังคณะรัฐบาล ซึ่งพร้อมที่จะนำเรื่องเหล่านั้นไปปฏิบัติได้ทันทีตามที่ได้สัญญาไว้ว่า “ทำจริง ทำทันที” พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้พยายามให้แนวทางไปแล้วว่าให้รับฟังความคิด ความเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ เช่น เวทีของนักศึกษา เวทีที่ประชุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือที่ทาง Thai PBS จัดขึ้น ให้รับความคิดเห็นดังกล่าวมาทั้งหมดเพื่อจะนำมาพิจารณาใช้ประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ ต้องแยกให้ออกระหว่างการแสดงความคิดเห็นกับการต่อต้าน ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันและให้กำลังใจกัน เพื่อให้แนวทางการปฏิรูป การแก้ไขปัญหาในอดีตที่ผ่านมาและร่างกฎกติกาสำหรับการที่จะไม่ทะเลาะกันในวันข้างเดินไปได้ เพราะฉะนั้นต้องแยกกันให้ออก 2 เรื่องนี้

2) เรื่ององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งอีกไม่นานจะหมดวาระและคงจะต้องมีการเลือกตั้งประมาณต้นปีหน้า จำนวนประมาณ 1,000 กว่าตำแหน่ง โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พร้อมที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 คือให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเดิมซึ่งจะหมดอายุลงนั้นสามารถรักษาการต่อไปก่อน โดยจะไม่คัดสรรคนข้างนอกตามคำสั่ง คสช. ที่เคยมีให้เข้าไปทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นใครที่หมดวาระแล้วก็ให้รักษาการต่อไป

3) นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีการเข้าไปตรวจสอบที่โบสถ์คริสต์ ซ.อ่อนนุช 44 ว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยตรวจพบสิ่งผิดกฎหมายหลายอย่างและไม่ได้มีการลิดรอนสิทธิ์แต่อย่างใด เพราะได้มีการประสานกับหน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งปรากฏว่ามีคนที่เข้าเมืองถูกหมายออกมา ส่วนคนที่เหลือไม่ได้ออกมาคือผิดกฎหมาย จึงจำเป็นต้องเข้าไปดำเนินการตามขั้นตอน ทั้งนี้การที่สามารถดำเนินการได้เช่นนี้ เพราะมีกฎหมายพิเศษ ฉะนั้นอย่ามองว่ากฎหมายพิเศษไปจำกัดสิทธิเสรีภาพแต่เพียงอย่างเดียว ให้มองในภาพกว้างว่าประโยชน์ของกฎหมายดังกล่าวก็มี คือสามารถดำเนินการในเรื่องการดูแลปัญหาที่อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงได้ ถ้ามีการติดต่อขอไปตามกระบวนการกฎหมายปกติ เข้าไปอาจจะไม่พบอะไรเลยก็ได้

4) นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องของการลงพื้นที่ให้กับคณะรัฐมนตรี รับทราบว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่นและจังหวัดกาฬสินธุ์ ภาพรวมถือว่าเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง โดยได้ติดตามรับฟังข้อมูลปัญหาของประชาชน และได้ติดตามการแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่ข้าราชการทุกภาคส่วนตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอลงไปถึงประชาชนในพื้นที่ แม้จะยังมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งในการแสดงสัญลักษณ์บ้างก็ไม่เป็นไร เพราะอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ รวมทั้งขอให้ทุกภาคส่วนเข้าใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย โดยเฉพาะกรณีเกิดเหตุการณ์ที่มีนักศึกษามาแสดงสัญลักษณ์ขณะที่นายกรัฐมนตรีกล่าวกับประชาชนที่ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น และได้มีการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4-5 นาย โดยเป็นการสอบสวน ไปช่วยราชการ และการเอาออกนอกพื้นที่นั้น บางคนมองว่าจะไม่เป็นการทำลายขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวเกินหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยากให้มองในมุมอื่นด้วยเช่นกัน เช่นมองในด้านดีก็เป็นการทำให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนตื่นตัวในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้มาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มข้นขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรี ไม่ได้หมายถึงเฉพาะตัวนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะนายกรัฐมนตรีไม่กลัวอยู่แล้ว แต่ในการประชุมอื่น ๆ รวมไปถึงการประชุมซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมที่มาจากต่างประเทศ มาตรการรักษาความปลอดภัยทั้งหลายเหล่านี้ จะต้องมีความเข้มข้นเพียงพอที่จะทำให้เกิดหลักประกัน เพื่อให้ทุกคนที่มาร่วมประชุมเกิดความมั่นใจว่ามีความปลอดภัยเกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นจึงอยากให้มองแต่ละเรื่องใน 2 มุม และต้องให้เกียรติกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ต้องมีคำสั่งทางการบริหารและทางการปกครอง เพื่อพัฒนาปรับปรุงการปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์

5) เรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้ง นายกรัฐมนตรี ได้ยกตัวอย่างเป็นแนวทางสำหรับการแก้ปัญหาเรื่อง อื่น ๆ ซึ่งควรจะต้องยึดถือแนวทางนี้ โดยมีการคาดการณ์ไว้ก่อนล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุอะไรขึ้น และมีการวางแผนเพื่อจะแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาขึ้นก่อนแล้วไปแก้ไขทีหลัง ดังนั้นให้ยึดแนวทางของการแก้ไขปัญหาภัยแล้งไว้เป็นแนวทางสำหรับการแก้ปัญหาในเรื่องอื่น ๆ ที่ทุกภาคส่วนมีการบูรณาการเวลาออกมาตรการในการแก้ไขปัญหาออกมาเป็นชุด ซึ่งจะทำให้ครบถ้วนในทุกระบวนการ

6) เรื่องการให้ใบอนุญาตของการก่อตั้งโรงงานไฟฟ้า นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ส่วนที่เกี่ยวข้องไปดูรายละเอียดกรณีการขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งได้ดำเนินการเป็นไปตามกฎกติกาที่มีอยู่จนหมดโควต้าแล้ว แต่มีอยู่หลายส่วนที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้วไม่ไปจัดตั้งโรงงาน และทิ้งระยะเวลามาแล้ว 3 – 5 ปี ก็ยังไม่ได้มีการจัดตั้งโรงงาน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี จึงมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูในเรื่องกรอบเวลาที่กำหนดไว้ให้ชัดเจน เพราะยังมีบริษัทอีกจำนวนมาก ประมาณ 177 บริษัท ที่ต้องการจะเข้ามาประกอบการอย่างแท้จริงไม่ใช่เป็นการชื้อใบอนุญาตแล้วนำไปขายต่อ เพราะฉะนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องต้องไปดำเนินการตรวจสอบในรายละเอียดก่อนเสนอที่ประชุม ครม. รับทราบภายในกลางเดือนหน้าต่อไป

7) บทเรียนที่เกี่ยวกับเรื่องของการที่จะต้องเสียค่าปรับตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุดจำนวนประมาณเกือบหมื่นล้านบาทของกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งเป็นเงินค่าปรับ จำนวน 5,000 กว่าล้านบาท และเป็นเงินค่าภาษีร้อยละ 7.5/ปี จำนวน 11 ปี เป็นเงิน จำนวน 4,000 กว่าล้านบาท รวมเกือบ 10,000 ล้านบาท นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวถือเป็นอุทาหรณ์สำหรับข้าราชการประจำทุกคนที่เกี่ยวข้องได้ระลึกและตระหนักไว้เสมอว่า อะไรก็แล้วแต่ที่ข้าราชการการเมืองเข้ามาแล้วสั่งให้ดำเนินการ ถ้าเห็นว่าไม่ตรงตามแผนงาน ตามหลักการ และจะเกิดผลเสียที่มีอยู่ จะต้องดำเนินการทัดทานให้ถึงที่สุด โดยจะต้องมีรายละเอียดของเรื่องที่แสดงให้เห็นและสามารถอ้างอิงได้ว่ามีการทัดทานแล้ว ทั้งนี้เรื่องการเสียค่าปรับดังกล่าวหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องไปพิจารณาว่าจะสามารถต่อรองราคาลงมาอย่างไร เพื่อที่จะให้เสียค่าปรับจำนวนน้อย อย่างไรก็ดีในกระบวนการยุติธรรมก็ไม่ได้มีการเข้าไปก้าวก่ายแต่อย่างใด แต่ให้ดำเนินการไปตามกระบวนการเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้

8) การประชุมที่เกี่ยวกับเรื่องของการต่างประเทศ นโยบายหลักการสำคัญของการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะอาเซียนนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องทำให้เกิดความเข้มแข็งในอาเซียน ไม่ใช่ประเทศหนึ่งประเทศใดเข้มแข็ง ต้องเป็นความเข้มแข็งของอาเซียน เพื่อให้มีอำนาจต่อรองกับกลุ่มอื่น ๆ ในประชาคมโลก ทั้งนี้จะต้องทำให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะการที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของแหล่งอาหารโลก ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องต้องขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนี้ให้ได้

9) เรื่องการจัดการงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 87 พรรษา และการจัดการงานเฉลิมพระเกียรติ ในโอกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 60 พรรษา ในวันที่ 5 เมษายน 2558 นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางเบื้องต้นว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปคิดหาการทำกิจกรรมที่จะทำให้คนไทยเกิดความรู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และถวายเป็นพระราชกุศลในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 87 พรรษา และในโอกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 60 พรรษา ในวันที่ 5 เมษายน 2558 โดย นายกรัฐมนตรี ขอให้คิดทำจากเรื่องใกล้ตัวที่ตนเองสามารถทำได้ก่อน เช่น ปีหน้าจะไม่ฝ่าไฟแดงเลย หรือปีหน้าจะไม่ขับรถปาดหน้าคนอื่น เป็นต้น หากทุกคนทำได้แบบนี้สังคมก็จะมีคุณภาพที่ดีขึ้น เป็นการยกระดับสังคมให้เจริญก้าวหน้าทำให้ความขัดแย้งเรื่องราวต่าง ๆ ในสังคมลดน้อยลง

10) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความห่วงใยเกี่ยวกับเรื่องพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ลงไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีงบประมาณ จำนวน 26,500 ล้านบาท โดย กอ.รมน. รายงานว่า ได้ทำรายการตรวจสอบความต้องการของประชาชนและปัญหาต่าง ๆ จำหลายเล่ม แต่หน่วยงาน กระทรวง ทบวง กรม ที่เป็นหน่วยงานฟังก์ชั่นไม่ค่อยได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้ ทำให้งบประมาณที่ลงไปในหน่วยงานฟังก์ชั่นส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ไม่ได้คำนึงถึงมิติของความมั่นคง และความต้องการของประชาชนในพื้นที่ เพราะฉะนั้นตรงนี้ ทุกส่วนราชการต้องให้ความสำคัญ และนำเอกสารรายงานของ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ที่จัดทำไว้แล้วมาศึกษา เพื่อให้การนำแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ไปปฏิบัติจะได้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง รวมทั้งสอดคล้องกับความคิดเห็นของ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า ในมิติความมั่นคงด้วย

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมว่า ต้องการให้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนที่ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัด สปก.อำเภอ เพื่อจะดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้ข้อคิดเห็นและข้อสังเกตไว้ รวมทั้งจะต้องมีการบูรณาการกันอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม 3 เดือนจากนี้ไป หากสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้ข้อสังเกตไว้แต่ยังไม่ได้มีการปรับแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอ จะต้องพิจารณาต่อกรณีที่ไม่ปฏิบัติและดำเนินการดังกล่าวด้วย

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ