นายกรัฐมนตรีเผยเดินทางเยือนลาว – เวียดนามจะมีการหารือความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า ชายแดน เส้นทางคมนาคม รวมทั้งที่จะพัฒนาต่อไปในอนาคต

ข่าวทั่วไป Wednesday November 26, 2014 14:35 —สำนักโฆษก

วันนี้ (26พ.ย.57) เวลา 10.30 น. ณ ทำเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2557 จะมีการหารือซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันเพิ่มเติมหรือไม่ว่า เรื่องดังกล่าวมีสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งจะมีการดำเนินการเชื่อมโยงระหว่างกัน เพราะประเทศไทยก็มีความจำเป็นและต้องการในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้การดำเนินการในเรื่องนี้อาจจะดำเนินการซื้อมาโดยตรงหรือให้ส่งต่อไปที่อื่น ซึ่งเราจะได้ประโยชน์ในเรื่องของการลงทุนและร่วมมือด้วย นอกจากนั้นยังจะมีความร่วมมือทางด้านชายแดน เขตเศรษฐกิจพิเศษ เส้นทางคมนาคมที่จะมีการเชื่อมโยงระหว่างกัน ตลอดจนความร่วมมือทางด้านอื่น ๆ ที่จะมีการพัฒนาต่อไปในอนาคต พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวยืนยันไม่รู้สึกเป็นกังวลแต่อย่างใดถึงแม้ช่วงนี้จะเดินทางไปเยือนต่างประเทศหลายวัน

ส่วนการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2557 และการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะมีการหารือความร่วมมือระหว่างกันในเรื่องใดบ้างนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังเดินทางกลับมาจะชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทยกับทั้งสองประเทศให้รับทราบ ซึ่งความร่วมมือระหว่างกันจะคำนึงว่าทำอย่างไรให้อาเซียนและแต่ละประเทศเข้มแข็ง เพื่อจะเพิ่มศักยภาพของประชาคมอาเซียนให้ได้ โดยใช้จุดแข็งที่แต่ละประเทศในอาเซียนมีนำมาเป็นประโยชน์ในการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม การค้าการลงทุน และสร้างศักยภาพของอาเซียน ทั้งนี้การดำเนินการดังกล่าวจะต้องมองในภาพของอาเซียนไม่ใช่ประเทศไทยเท่านั้น ขณะเดียวกันสื่อมวลชนก็จะต้องมีการเชื่อมโยงกับสื่อต่างประเทศในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อให้การทำงานเกิดการประสานเชื่อมโยงกันทั้งระบบ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เวลาเดินทางไปเยือนต่างประเทศทุกประเทศก็จะมีการพบปะกับนักลงทุนไทยทุกครั้ง เพื่อจะได้ชี้แจงทำความเข้าใจให้นักลงทุนไทยได้รับทราบเกี่ยวกับนโยบายและความต้องการของประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ เพื่อจะได้ดำเนินธุรกิจหรือลงทุนได้สอดคล้องและตรงตามความต้องการของต่างประเทศต่อไป

ส่วนกรณีที่กลุ่มแนวร่วมกู้ชีพชาวสวนยางพาราเรียกร้องให้รัฐบาลถอนร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งชาติ ออกจากการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เนื่องจากมองว่า พรบ.ดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาและสามารถนำมาปรับแก้ได้ เพราะยังอยู่ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ ซึ่งจะต้องมีการมารับฟังความคิดเห็นและประชุมร่วมกัน สามารถปรับแก้ได้หมด อย่าเพิ่งคิดว่าสิ่งที่เข้าไปใน สนช. แล้วจะออกมาอย่างนั้น ไม่ใช่ บางอย่างต้องไปตีความกันและเสนอกลับมาที่คณะรัฐมนตรีเพื่อจะมีข้อเสนอกลับเข้าไปอีกครั้ง ซึ่งเราต้องฟังความเห็นทุกฝ่าย อย่างไรก็ตามบางครั้งต้องเห็นใจว่ากฎหมายเหล่านี้มีการเตรียมการไว้นานแล้ว และยังไม่ได้เข้าพิจารณา แต่เมื่อถึงเวลาก็เร่งเสนอเข้าไปก่อนเพื่อให้ทันการพิจารณา แต่จะออกมาหรือไม่อย่างเพิ่งไปตีความว่าจะเสียหาย รัฐบาลมีแต่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น อะไรที่ทำให้ถอยหลังไม่ทำ รวมถึงสิ่งไหนที่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนมากไม่ทำ แต่เดือดร้อนน้อยต้องมีบ้าง เพราะต้องมีทั้งส่วนได้ส่วนเสีย ไม่เช่นนั้นเดินหน้าไม่ได้ ถ้าเอาใจทุกคนก็ทำอะไรไม่ได้เลย

พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขยายความถึงกรณีที่พูดว่ารัฐบาลนี้เป็นประชาธิปไตยมากกว่ารัฐบาลที่มาตามปกติว่า ที่พูดแบบนั้นไม่ได้อึดอัดใจ แต่เห็นว่าทุกคนเรียกร้องประชาธิปไตย จึงพยายามใช้หลักการประชาธิปไตยให้มากที่สุด การดำเนินการให้มีส่วนร่วม แต่ต้องอยู่ในขอบเขต และต้องยอมรับว่าเป็นประชาธิปไตยที่ต้องมีกติกา

“ที่ผ่านมามีประชาธิปไตยเต็มใบ เสรีภาพอยากจะทำอะไรก็ทำแล้วเกิดความวุ่นวาย เห็นไหม ผมไม่ได้ปฏิเสธ แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกในวันหน้า เมื่อผมไม่อยู่แล้วก็ทำกันไป แต่วันนี้ผมต้องขอกติกาตรงนี้เพื่อผมจะแก้ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในวันหน้า” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ส่วนวันนี้นายกรัฐมนตรีคิดว่าตนเองไม่ได้เผด็จการเกินไปใช่หรือไม่ นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เผด็จการตรงไหน คำว่าเผด็จการคือ การยึดอำนาจ ผลประโยชน์การค้าการลงทุนหยุดหมด เอาเป็นสินทรัพย์ของตัวเองของผู้นำ ของประเทศ ซึ่งตนเองทำอะไรสักอย่างหรือยัง มีอะไรเป็นของนายกรัฐมนตรีสักชิ้นไหม ทั้งนี้สิ่งที่นายกรัฐมนตรี ทำอะไร เพื่อใครก็ขอให้ดูเจตนาด้วย จะมาบอกอย่างนี้ อย่างนั้น ไม่ใช่ ไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้นก็ไปว่ามา ส่วนการที่นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูด ถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ส่วนเรื่องการทุจรติคอร์รัปชันในรัฐบาลชุดนี้ถ้ามีก็ไปหามาว่าใครทุจริตตรงไหน

ส่วนใจของนายกรัฐมนตรี อยากให้การรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้ายของประเทศไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่าไปสนใจว่าจะรัฐประหาร รัฐบาลก่อนจะทำอย่างไรประเทศชาติจะไม่มีความวุ่นวายก็ไม่มีใครหาเหตุที่จะเข้ามาแก้ปัญหาหรือทำอย่างอื่นได้ ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็เข้ามาได้ แต่เข้ามาแล้วต้องทำให้มีธรรมาภิบาล ไม่มีทุจริต โปร่งใส

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ