นายอารักษ์ พรหมณี รองปลัดกระทรวงแรงงาน โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่าด้วยนโยบายหลักของพลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีงานทำ จึงพิจารณาไปยังคนไทยทุกกลุ่ม โดยกลุ่มของผู้ต้องขังที่กำลังจะพ้นโทษซึ่งถือเป็นคนไทยกลุ่มหนึ่ง จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่ว่า “ทำอย่างไรจึงจะสร้างงานให้มีแนวทางประกอบอาชีพก่อนพ้นโทษ” เมื่อพ้นโทษถึงเวลาที่ต้องมีงานทำจึงควรมีแนวทางสำหรับคนกลุ่มนี้ก่อนพ้นโทษ เพื่อลดช่องว่างในช่วงระยะเวลาที่ไม่มีงานทำ ยังหาอาชีพทำไม่ได้ เพราะโอกาสที่คนเหล่านั้นจะกลับไปทำผิดอีกครั้งย่อมมีมากขึ้น ทั้งนี้ อาชีพประมงอาจเป็นทางเลือกหนึ่งให้ผู้ต้องขัง “เลือกตามความสมัครใจ” ไม่ใช่ ‘การนำผู้ต้องขังมาทดแทนการขาดแคลนแรงงานประมง’
“คนไทยกลุ่มหนึ่งที่สมควรที่กระทรวงแรงงานต้องเอาใจใส่ ก็คือกลุ่มผู้ต้องขังที่จะต้องพ้นโทษในอนาคตที่อยู่ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน จึงเป็นที่มาของแนวคิดว่า ‘ทำอย่างไรจึงจะสร้างงานให้มีแนวทางประกอบอาชีพก่อนพ้นโทษ’ โดยเมื่อพ้นโทษจะได้ทำงานต่อเนื่องได้ทันที โดยไม่มีช่องว่าง เพราะจะเสี่ยงที่จะทำผิดและกลับไปรับโทษอีก” โฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้สังคมอย่าได้เข้าใจว่า แนวคิดนี้เป็นการหาแรงงานมาทดแทนการขาดแคลนแรงงานประมง เพราะจำนวนผู้ต้องขังทั่วประเทศมีราว 3 แสนคน ซึ่งในจำนวนนี้รวมทุกเพศ ทุกวัย แต่ผู้ต้องขังที่อยู่ในช่วงอายุ 18 – 25 ปีที่เป็นเพศชายที่จะมาทำงานในลักษณะประมงได้มีไม่มากนัก
จึงไม่ใช่ตัวเลขที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการแรงงานภาคประมงที่มีประมาณหลายหมื่นถึงแสนคนได้อย่างแน่นอนจึงขอย้ำว่าเจตนารมณ์ของแนวคิดนี้ต้องการให้ทางเลือกในการมีอาชีพก่อนพ้นโทษซึ่งเชื่อว่าจะสามารถลดจำนวนการกลับไปทำผิดกฎหมายของผู้พ้นโทษกระทั่งนำไปสู่การต้องโทษจำคุกอีกครั้งได้ ฉะนั้น ต้องทำความเข้าใจต่อสังคมว่าการให้ผู้ต้องขังที่พ้นโทษไปทำงานบนเรือประมงนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อหางานให้คนไทยทำ ไม่ใช่แก้ปัญหาเรื่องประมงขาดแคลน
ที่มา: http://www.thaigov.go.th