รัฐบาล และ คสช. แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ โดยยึดข้อกฎหมาย คุณธรรม และจริยธรรม

ข่าวทั่วไป Tuesday January 20, 2015 15:02 —สำนักโฆษก

รองโฆษกรัฐบาลยืนยันรัฐบาล คสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ โดยยึดข้อกฎหมาย คุณธรรม และจริยธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติและไม่ได้มุ่งที่จะทำลายล้างใคร

วันนี้ (20 ม.ค.58) เวลา 15.30 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ครั้งที่ 1/2558 ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ พลตรี สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงผลการประชุมฯ ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีปรารภและสั่งการต่อที่ประชุมฯ เพื่อเป็นนโยบายในการปฏิบัติงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้การประชุมร่วมระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ได้มีการรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานในส่วนของ คสช. ว่าสถานการณ์ความสงบเรียบร้อยทั่วไปโดยรวมถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ดีไม่มีผลกระทบร้ายแรงแต่อย่างใด ส่วนเรื่องที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมากในขณะนี้คือเรื่องการถอดถอนนักการเมือง ( 3 ท่าน) ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ฝากให้ทุกภาคส่วน ทั้งคณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้ช่วยกันชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้เป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของชาติบ้านเมืองเราในอดีตที่มีข้อขัดแย้งกันอยู่ เพราะฉะนั้นการดำเนินการต่าง ๆ ก็ต้องดำเนินไปตามกฎหมาย โดยครั้งนี้ก็เป็นการตรวจสอบภาวะผู้นำ คุณธรรม จริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งได้มีการนำเสนอข้อมูลทั้งสองฝ่ายให้กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้รับทราบ รวมทั้งมีการนำเสนอข้อมูลอย่างกว้างขวางให้กับประชาชนได้รับทราบว่า ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งข้อสังเกตในเรื่องใดบ้าง เช่น เรื่องการมีภาวะผู้นำที่รับรู้รับทราบถึงนโยบายในการบริหารราชการที่ผ่านมาว่าเกิดความเสียแล้ว นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ใช้ภาวะของความเป็นผู้นำ และภาวะของการเป็นผู้กำหนดนโยบายของรัฐได้ระงับยับยั้งความเสียหายเหล่านั้นหรือไม่

ส่วนการตอบข้อสงสัยและข้อชักถามของ ป.ป.ช. ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้มาตอบคำถามด้วยตนเองแต่ได้มีการมอบหมายให้กับคณะทำงานของท่านเป็นผู้ตอบผ่านทางยูทูป ซึ่งตรงนี้ก็ให้สังคมได้ลองพิจารณาว่าเรื่องการของการตรวจสอบคุณธรรม จริยธรรม สามารถที่จะมอบหมายให้กับใครตอบแทนได้หรือไม่

อย่างไรก็ตามขอยืนยันให้ทุกฝ่ายได้มั่นใจว่ารัฐบาล คสช. และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เรียกว่าแม่น้ำ 5 สาย (ครม. คสช. สปช. สนช.คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ) ได้พยายามดำเนินการที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ โดยยึดถือข้อกฎหมาย คุณธรรม และจริยธรรม ไม่ได้มุ่งหมายที่จะทำลายล้างใคร ซึ่งปัจจุบันจากที่ได้มีการตรวจสอบจะพบว่าศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูป ได้พยายามที่จะจัดกิจกรรมในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย และมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ถือได้ว่าเรื่องการแบ่งสีแบ่งฝ่ายค่อนข้างลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ จะมีกลุ่มการเมืองเพียงเล็กน้อยที่พยายามจะชักจูงให้เกิดความรู้สึกแบ่งสีแบ่งกลุ่ม หรือเป็นส่วนเป็นฝ่าย เพราะฉะนั้นจึงขอความร่วมมือทุกฝ่ายให้มั่นใจในแม่น้ำ 5 สาย ของ คสช. ว่าจะดำเนินการด้วยความยุติธรรมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติว่าเป็นฝ่ายใด

พร้อมกันนี้ หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี ได้รายงานตัวเลขเรื่องเศรษฐกิจต่อที่ประชุมฯ ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมมีทิศทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามความคิดเห็นของ คสช.และ ครม. ว่ามีความคิดเห็นในเรื่องเศรษฐกิจอย่างไร โดยหลายคนก็ได้มีการแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวอย่างกว้างขวาง และมีความคิดเห็นที่สอดคล้องต้องกันว่าในภาพรวมเศรษฐกิจส่งผลไปในทางที่ดีต่อประชาชนที่มีรายได้ระดับกลางถึงระดับสูง ขณะที่ประชาชนที่มีรายได้ระดับต่ำ เช่น ประชาชนชาวเกษตรกร ซึ่งได้มีการจัดแบ่งกลุ่มไว้ชัดเจนว่า ในภาคแรงงานมีประชาชนที่อยู่ในภาคแรงงานทั้งสิ้น 40 ล้านคน และแบ่งเป็นกลุ่มส่วนต่าง ๆ ได้หลายส่วน ส่วนที่ 1 คือ ผู้ที่มีรายได้ประจำ ไม่ว่าจะเป็นส่วนภาคราชการ ทำงานบริษัท รัฐวิสาหกิจ จำนวนประมาณ 15 ล้านคน ส่วนอีก จำนวน 25 ล้านคน เป็นอาชีพอิสระ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เกษตรกร จำนวนประมาณ 15 ล้านคน และอีก 10 ล้านคน ประกอบธุรกิจของตนเอง อาทิ ค้าขาย เป็นนายจ้างตนเองหรือลูกจ้างของตนเอง เป็นต้น

ทั้งนี้ กลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก คือ กลุ่มของเกษตรกรที่มี จำนวนประมาณ 15 ล้านคน ซึ่งโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้ช่วยให้ภาคเกษตรกรมีรายได้สูงขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการประชุมหารือคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในช่วงบ่ายวันนี้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรี สรุปว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่ตรงเป้าหมายของประชาชนเกษตรกรที่มีรายได้น้อย เพราะฉะนั้นจึงให้มีการระดมความคิดในช่วงบ่ายวันนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย ให้มีรายได้มากขึ้น โดยนายกรัฐมนตรี พร้อมที่จะใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ทุกรูปแบบที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงขึ้น

พร้อมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเรื่องของการติดตามข้อกฎหมายที่รัฐบาลได้พยายามผลักดัน ไม่ว่ากฎหมายที่แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคม กฎหมายที่ให้ประชาชนได้เข้าถึงการบริการของภาครัฐได้อย่างทั่วถึง กฎหมายที่ทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความสะดวกเรียบร้อยและไม่มีปัญหาข้อขัดข้อง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ทุกกระทรวง ทบวง กรม ได้ติดตามการดำเนินการของ สนช. ในทุกขั้นตอน เพื่ออธิบายและชี้แจงได้เมื่อกฎหมายผ่านออกมาแล้วจะได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และนโยบายที่รัฐบาลกำหนด

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการทำงานร่วมกันของหน่วยงานแม่น้ำ 5 สาย ว่า แม้แต่ละส่วนจะมีภารกิจหน้าที่ที่มีความชัดเจน แต่การประสานงานกันยังขาดความต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นจะมีการจัดให้มีการประชุมหน่วยงานทั้ง 5 หน่วยงานที่เรียกว่าแม่น้ำ 5 สาย ทุกเดือน เดือนละหนึ่งครั้ง โดยครั้งแรกจะเริ่มประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2558 นี้ พร้อมย้ำว่า ในการประชุมหารือดังกล่าว ไม่ได้เป็นการแทรกแซงการปฏิบัติงานในแต่ละภาคส่วน แต่เป็นการหารือเพื่อจะได้ทราบแนวทางปฏิบัติทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว แต่ละส่วนมีเป้าหมายอย่างไร เพื่อให้การทำงานของแต่ละส่วนทั้ง 5 สาย จะได้สอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

รวมทั้ง นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำเรื่องการประชุมของศูนย์ต่อต้านการทุจริตแห่งชาติว่า ที่ผ่านมาได้มีการประชุมว่าจะมีการทำบันทึกข้อตกลงคุณธรรมแนบไปกับสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจที่ทำกับภาคเอกชน โดยนายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่ใช่เฉพาะกับ 2 โครงการนำร่องที่เคยได้ชี้แจงไว้แล้ว คือ เรื่องโครงการจัดซื้อจัดหารถเมล์ และเรื่องรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายของ รฟม. เท่านั้น แต่จะต้องนำไปใช้กับทุกโครงการที่มีอยู่ เพื่อให้ประชาชนคนไทยเกิดความสบายใจว่า รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะมาแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นอย่างแท้จริง ทั้งนี้รวมไปถึงเรื่องของสัมปทานปิโตรเลียมด้วย

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงเรื่องการหลบหนีคดีอาญาของผู้ที่ต้องคดีที่มีความผิดมาตรา 112 ไปในต่างประเทศว่า การดำเนินการในเรื่องดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยังประเทศต่าง ๆ ที่แต่ละบุคคลไปเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศเหล่านั้นแล้วว่า บุคคลดังกล่าวได้มีความผิดในข้อกฎหมายอาญาอะไร และได้กระทำเรื่องอะไรที่ทำให้ประชาชนคนไทยรู้สึกไม่สบายใจ โดยนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศไปหารือในรายละเอียดและดำเนินการต่อไป

กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ