วันนี้ (26 ก.พ.58) เวลา 13.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 3 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มอบโล่แสดงความยินดีกับบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนี DJSI ประจำปี 2558 จำนวน 10 บริษัท พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ธุรกิจไทยขับเคลื่อนไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืนด้วยมาตรฐานสากล” ในงาน "ธุรกิจไทยขับเคลื่อนไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืนด้วยมาตรฐานสากล : Thai Corporate Moving toward Sustainable Growth,DJSI" เพื่อกระตุ้นให้ภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทจดทะเบียนไทยมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตอย่างเข้มแข็งของเศรษฐกิจประเทศไทยในระยะยาวสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและวิสัยทัศน์ประเทศไทยปี 2015 – 2020 “ประเทศไทยมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” โดยมี นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามสมุดเยี่ยมและมอบโล่แสดงความยินดีกับบริษัทจดทะเบียนไทยที่ได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกของดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ประจำปี 2558 จำนวน 10 บริษัท ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกในกลุ่มดัชนี DJSI จำนวน 4 บริษัท ได้แก่ 1) บมจ. ปตท. (PTT) 2) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) 3) บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ 4) บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และกลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets จำนวน 10 บริษัท ทั้งนี้นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ประเทศไทยสามารถแสดงศักยภาพอันโดดเด่นจนได้รับการยอมรับในเวทีโลกในฐานะประเทศที่มีบริษัทจดทะเบียนเป็นสมาชิกของ DJSI มากที่สุดในอาเซียน ซึ่งเป็นผลดีต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของประเทศชาติด ขณะเดียวกันเป็นการเชิดชูมาตรฐานการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของภาคธุรกิจไทยในระดับสากลสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนจากต่างชาติในระยะยาว
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ธุรกิจไทยขับเคลื่อนไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืนด้วยมาตรฐานสากล” โดยได้กล่าวตอนหนึ่งว่า รู้สึกดีใจที่วิสัยทัศน์ประเทศไทยปี 2015 – 2020 “ประเทศไทยมั่นคง ประชาชนมั่งคั่งอย่างยั่งยืน” ที่ได้คิดไว้นั้นถูกนำมาสู่การปฏิบัติ ซึ่งคำว่า “มั่นคง” คือ มั่นคงในทุกมิติทั้งในความมีเสถียรภาพ การเมือง การทหาร ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งความมั่นคงถือเป็นฐานรากของทุกอย่าง และหากความความมั่นคงเกิดขึ้นก็จะส่งผลให้เกิดความมั่งคั่งในด้านต่าง ๆ ตามมาไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ขณะเดียวกันถ้าไม่มีหลักเกณฑ์หรือหลักการที่จะทำการค้าการลงทุนที่ดี ตลอดจนไม่มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงที่ดีพอก็จะทำให้ไม่เกิดความยั่งยืนเช่นกัน ฉะนั้นจะต้องมีการนำหลักการในเรื่องของความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามวิสัยทัศน์ของประเทศไทย รวมถึงหลักการบริหารจัดการที่ดี และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จมาปฏิบัติในดำรงชีวิต คือ ความมีเหตุมีผล ความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดี โดยใช้จ่ายให้เหมาะสมตามฐานะของตนเอง ภายใต้ความรู้คู่คุณธรรม ก็จะทำให้การดำเนินงานของหน่วยงานหรือบริษัทมีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงการดำเนินการเกี่ยวกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้วยความเป็นธรรม อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำคือทุกหน่วยงานหรือสถาบันต้องมีการสร้างวัฒนธรรมองค์กรของตนเองให้ได้ ซึ่งวัฒนธรรมในองค์กรคือการที่องค์กรมีบุคลากรที่มีคุณธรรมที่สามารถพิจารณาแยกแยะอะไรดีหรือไม่ดี อะไรควรทำหรือไม่ควรทำ ซึ่งจะส่งผลทำให้กลายเป็นองค์กรที่มีจริยธรรมในที่สุด มีการอยู่ร่วมกันด้วยหลักธรรมาภิบาล ดูแลซึ่งกันและกัน ตลอดจนความมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กรซึ่งจะทำให้ประเทศเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งสำคัญเร่งด่วนขณะนี้คือการพัฒนา Cluster การผลิตและการบริการ กำลังคน และโครงสร้างพื้นฐาน โดยรัฐบาลกำลังพิจารณาเรื่องการพัฒนาโครงสร้างระบบขนส่งคมนาคมและการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมภายในและภายนอกภูมิภาค เช่น โครงการระบบราง โดยจะมีการพิจารณาให้เอกชนที่มีความสามารถและศักยภาพเข้ามาร่วมลงทุนด้วย โดยเฉพาะรถไฟทางคู่ขนานขนาดราง 1 เมตรเดิมให้สามารถสวนกันได้ และรถไฟทางคู่ขนานใหม่จะต้องมีมาตรฐานในการรองรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น รวมทั้งรัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องการบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการน้ำประปาที่จะทยอยดำเนินการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การระบายและเก็บกักน้ำอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง การจัดส่งน้ำไปในพื้นที่การเกษตรของเกษตรกรให้เพียงพอกับการเพาะปลูก และส่งเสริมการปลูกพืชให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และปริมาณน้ำ อีกทั้งรัฐบาลกำลังดำเนินการปรับสัดส่วนการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการที่จะช่วยกันสร้างความเข้มแข็งในด้านต่าง ๆ เพื่อขับเคลื่อนไปประเทศไปข้างหน้าให้มีความความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ทั้งการสร้างความเข้มแข็งทางด้านพลังงาน ภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การลงทุน การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน การวิจัยพัฒนาที่จะนำไปสู่การผลิตและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเพิ่มมูลค่า การเตรียมความพร้อมแรงงานรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ฯลฯ พร้อมกล่าว ชื่นชมในความสำเร็จของทุกบริษัทและบริษัทจดทะเบียนไทยทั้ง 10 บริษัทที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ซึ่งได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับตลาดทุนในประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้นที่ได้ก้าวข้ามมาตรฐานมาสู่ระดับสากล โดยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศทั่วโลกได้อย่างดี ขณะเดียวกันก็หวังว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจและตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน อันจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ในส่วนของรัฐบาลก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือสนับสนุนอย่างเต็มที่และสร้างความมั่นใจแก่ผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุนในการยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจทุกขนาด และพัฒนาตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืน เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างเข้มแข็ง และพัฒนาคุณภาพชีวิตและความอยู่ดีมีสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน
กลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก
ที่มา: http://www.thaigov.go.th