นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ด กพช. เห็นชอบปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จากปัจจุบัน 0.25 บ./ลิตร คงเหลือ 0.10 บ./ลิตร เป็นเวลา 2 ปี

ข่าวทั่วไป Thursday March 8, 2018 14:51 —สำนักโฆษก

นายกรัฐมนตรีประชุมบอร์ด กพช.ครั้งที่ 1/61 เห็นชอบปรับลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจาก 0.25 บ./ลิตร คงเหลือ 0.10 บ./ลิตร เวลา 2 ปี-เห็นชอบการออกกฎกระทรวง Building Energy Code เพื่อเป็นมาตรการบังคับใช้ขั้นต่ำกับอาคารขนาดใหญ่

วันนี้ (8 มี.ค.61) เวลา 09.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2561 โดยมี พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุม สรุปสาระสำคัญของผลการประชุม ดังนี้

ที่ประชุม กพช. เห็นชอบการปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเสนอ จากปัจจุบันที่เก็บ 0.25 บาท/ลิตร คงเหลือ 0.10 บาท/ลิตร ลดชั่วคราวเป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อเป็นการผ่อนภาระประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการต่าง ๆ ในเรื่องต้นทุนรายจ่าย ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในระยะเวลา 2 ปีดังกล่าว กองทุนฯ ก็ยังมีเงินทุนสำรองเพียงพอที่จะสามารถดำเนินกิจกรรมตามปกติได้อย่างต่อเนื่อง และด้วยฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2560 มีอยู่ในระดับสูงถึงประมาณ 40,000 ล้านบาท สำหรับเงินส่วนที่ลด 0.15 บาท/ลิตร จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคได้ 5,350 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถ้าเก็บแบบนี้ กิจกรรมกองทุนฯ จะมีเงินรายรับสำหรับใช้ตามแผนการดำเนินงานของกองทุนฯ ประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท โดยการปรับลดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนฯ น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล เริ่มจัดเก็บตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา และปรับอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนฯ เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป

พร้อมกันนี้ ที่ประชุม กพช. เห็นชอบการออกกฎกระทรวงกำหนดประเภท หรือขนาดของอาคาร และมาตรฐานหลักเกณฑ์ และวิธีการในการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. .... เพื่อเป็นมาตรการบังคับใช้ขั้นต่ำกับอาคารขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการใช้พลังงานสูง เรียกว่า เกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพด้านพลังงานในอาคาร (Building Energy Code : BEC) ด้วยการกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานกับอาคารที่จะก่อสร้างใหม่หรือดัดแปลงตั้งแต่เริ่มต้นออกแบบอาคาร เพื่อให้อาคารมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกำหนดให้อาคารที่จะก่อสร้างใหม่หรือดัดแปลง 9 ประเภทอาคาร ได้แก่ 1) สำนักงาน 2) โรงแรม 3) โรงพยาบาล 4) ศูนย์การค้า 5) โรงมหรสพ 6) สถานบริการ 7) อาคารชุมนุมคน 8) อาคารชุด และ 9) สถานศึกษา ที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องออกแบบให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่ระบุในกฎกระทรวงฯ ได้แก่ ระบบกรอบอาคาร ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบผลิตน้ำร้อน และการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยให้มีการบังคับใช้กับอาคารขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมก่อนและทยอยบังคับใช้กับอาคารทั้ง 9 ประเภท ภายใน 3 ปี โดยมีกรอบการดำเนินงาน ดังนี้ ปีที่ 1 บังคับใช้กับอาคาร ขนาดตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตร ขึ้นไป ปีที่ 2 บังคับใช้กับอาคาร ขนาดตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตร ขึ้นไป ปีที่ 3 บังคับใช้กับอาคาร ขนาดตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตร ขึ้นไป ทั้งนี้ การกำหนดมาตรฐานด้านพลังงานของอาคารที่จะก่อสร้างใหม่หรือดัดแปลง จะทำให้การใช้พลังงานภายในอาคารมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประหยัดพลังงานได้มากกว่าร้อยละ 10 โดยมีเป้าหมายว่าภายใน 20 ปี จะสามารถประหยัดไฟฟ้าได้รวมประมาณ 13,700 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นมูลค่าเท่ากับ 47,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวง BEC นี้ จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามลำดับต่อไป

นอกจากนี้ กพช. มีมติรับทราบในหลักการเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นอายุ ในปี พ.ศ. 2565-2666 ดังนี้

1. รับทราบการพิจารณาของคณะกรรมการปิโตรเลียม ที่ได้ประเมินว่าปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ในแต่ละหลุมและโอกาสพบปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์ของแหล่งเอราวัณ และบงกช นั้นเข้าตามหลักเกณฑ์การใช้สัญญาแบ่งปันผลผลิตในการบริหารจัดการหลังจากสัมปทานสิ้นสุดอายุลง

2. รับทราบในหลักการข้อเสนอของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในการกำหนดเงื่อนไขที่ให้ผู้รับสัมปทานรายเดิมชำระค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่จะส่งมอบให้รัฐตามสัญญาสัมปทานตามสัดส่วนของทรัพยากรปิโตรเลียมที่ได้ผลิตไปแล้วและที่คงเหลือหลังการส่งมอบ

3. รับทราบในหลักการเงื่อนไขหลักที่จะกำหนดในข้อเสนอของผู้เข้าร่วมประมูล ดังนี้

  • กำหนดพื้นที่สำหรับการประมูลแหล่งเอราวัณ ตามสัญญาสัมปทานเลขที่ 1/2515/5 และเลขที่ 2/2515/6 ซึ่งจะสิ้นอายุสัมปทาน วันที่ 23 เมษายน 2565 รวมเป็นแปลงสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่จะบริหารภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต 1 สัญญา (แปลง G1/61) และให้เสนอปริมาณผลิตขั้นต่ำ 800 ล้าน ลบ. ฟุตต่อวัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี
  • กำหนดพื้นที่สำหรับการประมูลแหล่งบงกช ตามสัญญาสัมปทาน เลขที่ 5/2515/9 ซึ่งจะสิ้นสุดอายุสัมปทานวันที่ 23 เมษายน 2565 และสัญญาสัมปทาน เลขที่ 3/2515/7 ซึ่งจะสิ้นสุดอายุสัมปทานวันที่ 7 มีนาคม 2566 รวมแปลงสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่จะบริหารภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต 1 สัญญา (แปลง G2/61) และให้เสนอปริมาณผลิตขั้นต่ำ 700 ล้าน ลบ. ฟุตต่อวัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี
  • ให้ผู้เข้าร่วมประมูลเสนอราคาก๊าซธรรมชาติ โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในปัจจุบันตามสูตรราคาที่จะกำหนดในเอกสารเงื่อนไขการประมูล
  • ให้ผู้เข้าร่วมประมูลเสนอสัดส่วนการแบ่งกำไรให้แก่รัฐ ซึ่งจะต้องไม่ต่ำกว่า 50%

4. รับทราบในหลักการของแผนการบริหารจัดการการประมูล โดยเริ่มประกาศเชิญชวนในเดือนเมษายน โดยคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญากับผู้ชนะการประมูลได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

-------------------------------

กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก

(ข้อมูลจากฝ่ายเลขานุการ กพช.)

ที่มา: http://www.thaigov.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ