(เพิ่มเติม) ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก 18 ปี"วิโรจน์ นวลแข"อดีตผู้บริหาร KTBคดีปล่อยกู้ KMC

ข่าวทั่วไป Wednesday August 26, 2015 16:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 18 ปี นายวิโรจน์ นวลแข อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย(KTB)คดีทุจริตปล่อยสินเชื่อของธนาคารกรุงไทย ให้บริษัทในเครือ บมจ.กฤษดามหานคร(KMC) โดยมิชอบ ขณะที่ให้จำเลยซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ขออนุมัติสินเชื่อโดยทุจริตคืนเงินให้กับ KTB กว่าหมื่นล้านบาทด้วย

คดีนี้อัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.55 โดยกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 1, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ KTB และบริษัทในเครือของ บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 เนื่องจากร่วมกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ให้สินเชื่อจำนวนกว่า 9 พันล้าน แก่กลุ่มบริษัท กฤษฎามหานคร ซึ่งมีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารฯ

สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างหลบหนีคดี จึงให้จำหน่ายคดีชั่วคราวจนกว่าจะนำตัวมาแสดงต่อศาลได้, ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหาร KTB ในขณะนั้น , นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ KTB เป็นจำเลยที่ 3 ส่วนจำเลยที่ 4-17 เป็นอดีตกรรมการบริหาร KTB , อดีตคณะกรรมการสินเชื่อฯ, อดีตพนักงานสินเชื่อฯภาคเหนือและตะวันตก

ส่วนจำเลยที่ 18-27 เป็นบริษัทในเครือของ KMC

ศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 2-4 และ 12 มีความผิดให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 ให้จำคุกคนละ 18 ปี ส่วนจำเลยที่ 5, 8-11 และ 13-17 มีความผิดให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 ประกอบกฎหมายอาญามาตรา 86 ให้จำคุกคนละ 12 ปี

สำหรับจำเลยที่ 18-27 มีความผิดให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 ประกอบกฎหมายอาญา มาตรา 86 โดยจำเลยที่ 18-22 ซึ่งเป็นนิติบุคคลให้ปรับรายละ 26,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 23-27 ให้จำคุกคนละ 12 ปี และให้จำเลยที่ 20, 25 และ 26 ร่วมกันคืนเงินจำนวน 10,004,467,480 บาทแก่ธนาคารผู้เสียหาย โดยให้จำเลยที่ 3, 22 และ 27 ร่วมรับผิดจำนวน 9,554,467,480 บาท จำเลยที่ 12-17, 21,23 และ 24 ร่วมรับผิดจำนวน 8,818,732,100 บาท จำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450,000,000 บาท และจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11 และ 19 ร่วมรับผิดจำนวน 8,368,732,100 บาท

ทั้งนี้ หากธนาคารผู้เสียหายได้รับชำระคืนแล้วเป็นจำนวนเท่าใดก็ให้หักออกจากจำนวนที่สั่งให้ใช้คืนตามส่วน หากจำเลยที่ 18-22 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6 และ 7


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ