กรมป้องกันฯ ประสาน 37 จังหวัด เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนช่วง 28 เม.ย.-1 พ.ค.

ข่าวทั่วไป Wednesday April 27, 2016 10:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า จากการตรวจสอบสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 28 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2559 ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศไทย ขณะที่ลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้และอ่าวไทยขึ้นสู่ตอนบน ประกอบกับมีลมตะวันตกพัดปกคลุมภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อน สภาวะอากาศแปรปรวน มีพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางพื้นที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงได้ประสาน 37 จังหวัด แยกเป็น ภาคเหนือ 11 จังหวัด ได้แก่ ตาก อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา น่าน และแพร่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด ได้แก่ ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ เลย หนองคาย หนองบัวลำภู อุดรธานี และบึงกาฬ ภาคกลาง 6 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานีสุโขทัย และพิษณุโลก รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย เตรียมพร้อมรับมือพายุฤดูร้อนในช่วงวันที่ 28 เมษายน – 1 พฤษภาคม 2559 โดยจัดเจ้าหน้าที่และมิสเตอร์เตือนภัยติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงจัดเตรียมชุดเคลื่อนที่เร็ว เครื่องมืออุปกรณ์ประจำพื้นที่เสี่ยงให้พร้อมปฏิบัติการเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีที่เกิดภัย อีกทั้งประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตรวจสอบสิ่งก่อสร้างและป้ายโฆษณาให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง ตัดแต่งกิ่งไม้และต้นไม้บริเวณริมถนนและพื้นที่ชุมชน เพื่อป้องกันการล้มทับ ก่อให้เกิดอันตรายได้ กรณีสถานการณ์รุนแรง ได้เน้นย้ำให้ดำเนินการตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เพื่อประสานให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างทันท่วงที

นายฉัตรชัย กล่าวเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย 37 จังหวัด ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ให้ติดตามพยากรณ์อากาศ และประกาศเตือนภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมปฏิบัติตามคำเตือนอย่างเคร่งครัด รวมถึงตรวจสอบบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างให้อยู่ในสภาพมั่นคงแข็งแรง งดเว้นการใช้โทรศัพท์มือถือ เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดบริเวณที่โล่งแจ้งขณะเกิดฝนฟ้าคะนอง เพราะจะได้รับอันตรายจากฟ้าผ่า ส่วนเกษตรกรให้จัดทำที่ค้ำยันต้นไม้หรือที่กำบัง เพื่อป้องกันพืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย อีกทั้งห้ามหลบพายุบริเวณใต้ต้นไม้ ป้ายโฆษณา หรือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มั่นคงแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกล้มทับ ตลอดจนห้ามเข้าใกล้บริเวณที่มีสายไฟฟ้าขาดหรือเสาไฟฟ้าล้ม เพราะอาจได้รับอันตรายจากไฟฟ้าดูด

ขณะที่สถานการณ์ภัยแล้งขณะนี้ มีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) จำนวน 29 จังหวัด 154 อำเภอ 705 ตำบล 5,679 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 7.11 ของจำนวนหมู่บ้านทั่วประเทศ แยกเป็น จังหวัดที่มีปัญหาด้านน้ำอุปโภคบริโภค 11 จังหวัด ได้แก่ น่าน พิจิตร สุรินทร์ ลำพูน ขอนแก่น ชัยนาท สระบุรี ชลบุรี ตรัง ตาก และประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดที่มีปัญหาด้านน้ำเพื่อการเกษตร 9 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ พะเยา สุโขทัย นครพนม มหาสารคาม บุรีรัมย์ กาญจนบุรี สระแก้ว และจันทบุรี และจังหวัดที่มีปัญหาด้านน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร 9 จังหวัด ได้แก่ อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ นครราชสีมา เพชรบุรี ตราด สตูล กระบี่ นครศรีธรรมราช และหนองบัวลำภู

รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้ง จึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรรเทาสาธารณภัย ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาและให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงแหล่งน้ำต้นทุนไม่เพียงพอ ให้พัฒนาปรับปรุงแหล่งน้ำ จัดรถบรรทุกน้ำนำน้ำสะอาดไปเติมในภาชนะเก็บกักน้ำกลางประจำหมู่บ้านให้สอดคล้องกับวงรอบการใช้น้ำของประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ประชาชนประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค สำหรับพื้นที่ที่มีปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ 6 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สมุทรปราการ และพังงา ได้ประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องงดสูบน้ำ และปิดประตูกั้นน้ำในช่วงน้ำทะเลหนุนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเค็มรุกล้ำเข้ามาในระบบน้ำดิบสำหรับผลิตน้ำประปา และส่งผลกระทบให้พืชผลทางการเกษตรได้รับความเสียหาย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ