ปลัดมท.ประชุมด่วนผ่าน Video Conference มอบแนวทางบริหารจัดการน้ำผู้ว่าฯทั่วปท.

ข่าวทั่วไป Friday September 30, 2016 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมมอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมของประเทศ ผ่านระบบ Video conference ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทยในระดับจังหวัดและอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น

เนื่องจากขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณฝนตกหนักในช่วงระยะนี้ ประกอบกับ มีการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยา และเพื่อให้ทุกฝ่ายในพื้นที่ได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำที่จะเอ่อล้นตลิ่ง จึงขอให้จังหวัดในพื้นที่ใกล้ดำเนินการ ดังนี้ 1.ให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ลงพื้นที่ไปสำรวจ ตรวจสอบว่ามีพื้นที่ใดเสี่ยงที่จะเกิดสถานการณ์ หรือได้รับผลกระทบในพื้นที่ เพื่อจะได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ ให้เร่งลงไปสำรวจความเสียหาย และให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

สำหรับพื้นที่ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำ จุดใดที่มีความเสี่ยงให้ลงไปดูแลด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ให้เร่งทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนที่อยู่ทั้งในคันกั้นน้ำ และนอกคันกั้นน้ำ เพื่อให้รับทราบข้อเท็จจริง และผลกระทบที่จะได้รับ เพื่อเตรียมรับสถานการณ์

2.เมื่อเกิดสถานการณ์สาธารณภัย ให้จังหวัดจัดตั้ง "กองอำนวยการ" ระดับจังหวัด เพื่อรับทราบเหตุการณ์และอำนวยการสั่งการ โดยจัดตั้งทีมปฏิบัติการลงพื้นที่ เพื่อรับฟังและติดตามความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้น โดยให้ยึดแนวทางปฏิบัติในการบริหารและติดตามงาน เช่นเดียวกับโครงการตำบลละ 5 ล้าน โดยเน้นการทำงานร่วมกัน มีการบูรณาการทุกภาคส่วน รวมทั้งมีการแบ่งพื้นที่รับผิดชอบให้เหมาะสมกับสภาพปัญหา และจัดเตรียมเครื่องมือ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ที่มีอยู่ให้พร้อมเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที

3.การติดตาม และประเมินสถานการณ์น้ำ ให้ประสานกับชลประทานและอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด เพื่อการบริหารจัดการระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลาง เน้นการปิด-เปิด ประตูน้ำเขื่อนชัยนาทหรือเขื่อนเจ้าพระยา โดยคำนึงถึงความเร็วในการไหลของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจากภาคเหนือและน้ำจากปริมาณฝนตกในพื้นที่แล้วไหลลงสมทบ (side flow) มารวมในลำน้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะทำให้ความเร็วในการไหลของน้ำและปริมาณน้ำจะเพิ่มมากขึ้นทำให้ระดับน้ำสูงด้วย

นอกจากนี้ สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่ท่วม ให้จังหวัดหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินหรือคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำที่จะไหลท่วม จะเข้ามาถึงพื้นที่เมื่อใด เพื่อแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้ทุกพื้นที่ได้มีการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งตามมาตรการ “1 จุดกักเก็บน้ำต่อ 1 ตำบล" โดยน้อมนำหลักการบริหารจัดการน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

4.ให้ทุกพื้นที่ใช้ทุกช่องทางในการติดต่อสื่อสาร เพื่อให้ข้อมูลไปถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่ เช่น การลงไปร่วมประชุมกับหมู่บ้าน/ตำบล การประกาศเสียงตามสาย หอกระจายข่าวในหมู่บ้าน ตลอดจน Line และ Facebookเพื่อสร้างการรับรู้ให้กว้างขวางและทั่วถึง

5.การให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ก่อนเกิดเหตุสาธารณภัย จังหวัดสามารถให้ความช่วยเหลือโดยให้งบประมาณเชิงป้องกันหรือการยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เพื่อนำมาใช้ในการเตรียมพร้อมรองรับปริมาณน้ำที่จะเกิดผลกระทบในพื้นที่ เช่น การขุดแหล่งน้ำขนาดเล็ก การทำหลุมขนมครกตามแนวพระราชดำริ เพื่อเก็บน้ำฝนไว้ใช้ให้มากที่สุด ส่วนที่ 2 เมื่อเกิดสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ ให้จังหวัดดำเนินการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และให้ประกาศเฉพาะพื้นที่ที่เกิดภัย โดยผ่านความเห็นชอบและการพิจารณาจาก คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.)

นอกจากนี้ ในการแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย ให้กำหนดหน่วยงานรับผิดชอบประจำพื้นที่ให้ชัดเจนในการแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือประชาชน โดยให้นายอำเภอจับมืออย่างใกล้ชิดกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย และจะต้องบูรณาการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ และการแจกจ่ายถุงยังชีพต้องมีความเท่าเทียมกันและ ทั่วถึงทุกจุด รวมทั้งต้องสร้างความเข้าใจต่อสถานการณ์สร้างการรับรู้ที่ถูกต้องกับประชาชนในพื้นที่ด้วย

สำหรับการสนับสนุนนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ โดยใช้ “กลไกประชารัฐ" ในการบริหารจัดการในพื้นที่ โดยให้ทุกจังหวัดได้ลงพื้นที่อย่างใกล้ชิด และชี้แจงถึงแนวทางการทำงาน คณะกรรมการ และคณะทำงาน ที่ได้รับการแต่งตั้งเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลได้สนับสนุนการจัดตั้งกิจการที่เป็นประโยชน์แก่คนในชุมชน หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยจัดตั้ง “บริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด" ขึ้นทุกจังหวัด เพื่อขับเคลื่อนการทำงานในพื้นที่ โดยไม่ได้วางเป้าหมายเพื่อสร้างกำไร หากแต่มองการณ์ไกลที่จะเพิ่มทุนเพื่อขยายกิจการ เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนโดยเน้นใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ด้านการเกษตร 2. ด้านการแปรรูป SME/OTOP และ 3.ด้านการท่องเที่ยวชุมชน จึงขอให้ทุกฝ่ายได้เร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน กับ คณะทำงานระดับจังหวัด และอำเภอ ให้มีความเข้าใจที่ตรงกันด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ