(เพิ่มเติม) นายกฯ ติดตามงานคลินิกหมอครอบครัว-การผลิตยาสมนุไพร ตามแผนปฏิรูปด้านสาธารณสุข

ข่าวทั่วไป Thursday March 9, 2017 14:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี เพื่อตรวจเยี่ยมคลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster : PCC) รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร สาขาศาลา ซึ่งนโยบายคลินิกหมอครอบครัวเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญ ในการลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและการสร้างโอกาสเข้าถึงบริการของรัฐ เตรียมความพร้อมเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งปรากฏในร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับลงประชามติ พ.ศ.2559 มาตรา 258 ซึ่งระบุว่า ประชาชนต้องได้รับสิทธิและประโยชน์จากการบริหารจัดการ การเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพอย่างสะดวกทัดเทียม ดูแลประชาชนในทุกมิติสุขภาพ ทั้งการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค รักษา ฟื้นฟู คุ้มครองผู้บริโภคและให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม เป็นการปฏิรูประบบสุขภาพของไทยด้วยการจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัว ที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและทีมสหวิชาชีพ ดูแลประชาชน 10,000 คน/ 1 ทีม

ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้บรรจุนโยบายคลินิกหมอครอบครัว ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านสาธารณสุข มีการเชื่อมโยงกับท้องถิ่นชุมชนให้หลอมรวมทำงานร่วมกันเป็นทีม มีการบริการทั้งเวลาราชการและเวลาราษฎร ภายใต้สโลแกน “บริการทุกคน ทุกอย่าง ทุกที่ ทุกเวลาด้วยเทคโนโลยี" โดยคลินิกหมอครอบครัวช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพ เช่น ลดเวลารอคอย จาก 172 นาทีเหลือเพียง 44 นาที และลดความแออัดในการรอรับบริการในโรงพยาบาลใหญ่ลงร้อยละ 60 ลดการนอนโรงพยาบาลที่ไม่จำเป็นร้อยละ 15 ลดการใช้บริการห้องฉุกเฉินร้อยละ 13 และการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน เช่น ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน ร้อยละ 25 และในอีก 10 ปีจะมีหมอครอบครัว 6,500 ทีม ดูแลประชาชน 65 ล้านคน เพื่อมุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างเต็มรูปแบบ ให้ประเทศไทย มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

สำหรับคลินิกหมอครอบครัว สาขาศาลาไทยนั้น เป็นคลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของจังหวัดปราจีนบุรี มีทีมแพทย์ 3 ทีม ดูแลประชากรทั้งสิ้น 30,076 คน โดยจัดบริการแพทย์ประจำที่ศาลาไทย แพทย์ออกปฏิบัติงานทุกวัน โดยคลินิกหมอครอบครัว สาขาศาลาไทยนี้ ประกอบด้วยคลินิกย่อย อาทิ คลินิกเบาหวานและความดัน คลินิกทันตกรรม คลินิกส่งเสริมพัฒนาการเด็ก และคลินิกแพทย์แผนไทย เป็นต้น ซึ่งประชาชนสามารถปรึกษาแพทย์ได้ตลอดเวลา ทั้งทางโทรศัพท์และกลุ่มไลน์ รวมทั้งมีการพัฒนาระบบการบริการการแพทย์แผนไทย เพิ่มการเข้าถึงบริการด้านการแพทย์แผนไทย ลดการใช้บริการแผนปัจจุบัน โดยเริ่มในผู้ป่วยเบาหวานก่อน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2558 ปัจจุบันมีผู้ป่วย 80 ราย จากการใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์แผนไทยมาดูแลผู้ป่วยเบาหวานพบว่ามีผู้ป่วยถึงร้อยละ 80 ที่ไม่ต้องเพิ่มยามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไปจะขยายขอบเขตการให้บริการไปสู่โรคอื่นๆ ด้วย

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ไปตรวจติดตามการดำเนินงานตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจไทย ด้วยธุรกิจและผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดแผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย พ.ศ.2560-2564 เพื่อบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1. ส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ 2. พัฒนาอุตสาหกรรม และการตลาดสมุนไพรให้มีคุณภาพระดับสากล 3. ส่งเสริมการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาโรค และการสร้างเสริมสุขภาพ 4. สร้างความเข้มแข็งของการบริหารและนโยบายภาครัฐเพื่อการขับเคลื่อนสมุนไพรไทยอย่างยั่งยืน ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำชุดโครงการเพื่อการขับเคลื่อนสมุนไพรเชิงเศรษฐกิจ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรตลอดห่วงโซ่มูลค่า (Value chain) ให้มีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ วงเงินงบประมาณ 1,162 ล้านบาท กำหนดสมุนไพร Product Champions 4 ชนิด ได้แก่ ไพล ขมิ้นชัน กระชายดำ และบัวบก

รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการระยะ 5 ปีรองรับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 กำหนดการพัฒนาเมืองสมุนไพรเป็นกลไกการทำงานระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการพัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร สร้างความมั่นคงในด้านสุขภาพและเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม มีการส่งออกวัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรชั้นนำของอาเซียน ตั้งเป้าหมายมีเมืองสมุนไพรใน 12 เขตสุขภาพ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ได้ 3.2 แสนล้านบาท และมูลค่าการใช้สมุนไพรในสถานบริการ 3,000 ล้านบาท

โดยในปี 2559 จะมีเมืองสมุนไพรต้นแบบใน 4 จังหวัดคือ ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี เชียงราย และสกลนคร และสร้างอภัยภูเบศร์ บิสสิเนส โมเดล (Abhaibhubejhr Business Model) เป็นต้นแบบการยกระดับธุรกิจสู่สากล มุ่งเน้นให้ประชาชนไทยใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพให้มากยิ่งขึ้น

พร้อมระบุว่า กว่า 12 ปีแล้วที่รัฐบาลมีเพียงนโยบายสมุนไพร แต่ขับเคลื่อนได้น้อยมาก ดังนั้นรัฐบาลจึงใช้เวลาตลอด 3 ปี ขับเคลื่อนเพื่อให้อีก 20 ปีข้างหน้าประเทศไทยมีศักยภาพด้านสมุนไพรมากที่สุดในโลก อีกทั้งต้องพัฒนาศักยภาพยาสมุนไพรให้มีประสิทธิภาพเฉพาะทาง จากปัจจุบันที่มีการใช้ยาแผนปัจจุบันมากจนเกินไป

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณประชาชนชาวปราจีนบุรีที่ให้การต้อนรับตนและคณะ สิ่งแรกที่เห็นเลยคือการจัดการด้านสาธารณสุขที่ดีขึ้นมาก นับว่าเป็นการปฏิรูปงานด้านนี้โดยเฉพาะ อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพเพื่อการพัฒนาในทุกด้าน ทั้งด้านท่องเที่ยว ด้านนิคมอุตสหกรรม ส่วนใหญ่รายได้เศรษฐกิจ มาจากอุตสาหกรรม 75% นอกจากนั้นเป็นค้าขายและการเกษตร ซึ่งวันนี้ตนจะนำเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดของบประมาณ ในการก่อสร้างถนนหมายเลข 319 ปราจีนบุรี - ฉะเชิงเทรา ไปพิจารณา

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีการยกเลิกสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่จะพัฒนาศักยภาพเพื่อให้บริการประชาชนให้ดียิ่งขึ้น แต่ทุกวันนี้ขออย่าเพิ่งพูดถึงแต่เรื่องของอำนาจ เพราะต้องรู้ว่าอำนาจมาจากใคร ก็มาจากประชาชนแต่ต้องเข้าใจว่า เมื่อได้อำนาจจากประชาชนแล้ว ไม่ใช่จะนำไปใช้ทำอะไรก็ได้ อีกทั้งการใช้อำนาจก็จะต้องมีธรรมภิบาล ดังนั้นเรื่องแบบนี้ก็ต้องอยู่ที่ทุกคนร่วมกันแก้ปัญหา และต้องห่วงอนาคตของลูกหลาน รัฐบาลจึงเร่งปฏิรูปและเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ ออกกฏหมายไปแล้ว 200 ฉบับ เพื่อแก้ปัญหา ทำกฏหมายให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และสร้างความเท่าเทียมให้กับทุกคน กฏหมายต้องเท่าเทียมกันทุกคน เช่นเดียวกับคนที่ตัดต้นไม้ ก็ยังต้องได้รับความผิด และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีการละเว้น และหากไม่ผิดก็ต้องเข้ามาต่อสู้คดีการตามกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนเข้าใจในเรื่องนี้ด้ว

ส่วนเรื่องประชาธิปไตยนั้น นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องแก้ด้วยคนไทยกันเองไม่ใช่รัฐบาล ซึ่งประเทศเจอกับดักทั้งเรื่องของความเหลื่อมล้ำ 2 มาตราฐาน รวมถึงการไม่เคารพกฏหมาย ดังนั้นต้องช่วยกันแก้ไข ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญเขียนเพื่อปวงชนชาวไทย อย่าให้ใครมาบืดเบือนด้วยการนำรัฐธรรมนูญมาอ้าง หรืออย่ามาอ้างว่ารัฐบาลและคสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะที่ผ่านมาต้องถามว่ามีการละเมิดสิทธิของคนอื่นหรือไม่ และวันนี้ไม่ต้องการใช้กำลัง วันนี้แม้มีมาตรา 44 ก็ยังใช้ไม่ได้หากทุกคนไม่เชื่อ ดังนั้นจึงขอร้องให้ทุกคนร่วมมือและมีหลักคิด โดยยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้ขาดงบประมาณ จนต้องเรียกเก็บภาษีในบางประเภทเพิ่มขึ้น

นายกรัฐมนตรียังย้ำอีกว่า การแก้ปัญหา และการพัฒนาในขณะนี้จะสำเร็จได้จะต้องไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นอีก ต้องให้ประเทศได้เดินหน้าการปฏิรูป และไม่ควรมองเฉพาะรายได้ แต่ควรให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์ของชาติ ทั้งเรื่องของรอยยิ้ม ความนุ่มนวล กิริยามารยาท ศีลธรรม คุณธรรม และการเป็นสังคมจริยธรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ