นายกฯให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำ-เร่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม-พัฒนาศักยภาพคน

ข่าวทั่วไป Saturday August 12, 2017 09:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวผ่านรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า ตลอดระยะเวลายาวนานหลายสิบปี หรือ “ชั่วชีวิต" ของคนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศ เรามีช่วงเวลาในความทรงจำ “ร่วมกัน" ถึงบุคคลที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นหลักชัยของชาติ ที่คนไทยต่างเคารพรักและเทิดทูนยิ่ง ประดุจดั่งพ่อและแม่ของแผ่นดิน นับจากวันนั้นถึงวันนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระราชกรณียกิจนานัปการ “เคียงข้าง" ในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อทรงช่วยแบ่งเบาพระราชภาระอีกทั้ง ทรงมีพระราชดำริริเริ่มโครงการต่างๆที่ล้วนก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ช่วยประชาชนพ้นจากความยากจน พึ่งพาตนเองได้ และร่วมกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนอนุรักษ์มรดกศิลปวัฒนธรรมของชาติ อาทิ ทรงเป็นผู้นำ ริเริ่ม สนับสนุน ฟื้นฟูและสืบทอดงานศิลปะแขนงต่างๆ ของไทย มิให้เสื่อมสูญเป็นมรดกวัฒนธรรมคู่แผ่นดินไทยสืบมาตราบทุกวันนี้ดังพระราชดำรัสความตอนหนึ่งว่า

“หากย้อนนึกไปถึงอายุของชาติไทยซึ่งเป็นชาติเก่าแก่ สืบเผ่าพันธุ์มาช้านานนับพันปีด้วยแล้ว จะเห็นได้ว่า บรรพบุรุษของเราได้สร้างสมสิ่งที่ดี ที่งาม ที่เป็นประโยชน์ไว้ให้แก่เราลูกหลาน และแม้แก่โลก ทั้งนี้ก็คือวัฒนธรรมของเรานั่นเอง ทุกคนจึงควรภูมิใจในเผ่าพันธุ์ไทยและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของเรา และสำนึกว่าเป็นหน้าที่โดยตรงที่จะรักษาให้ดำรงอยู่ได้ตลอดไป..."

ในการนี้ ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2560 นี้ ผมขอเชิญชวนปวงชนชาวไทย ทุกหมู่เหล่า ทั่วราชอาณาจักรไทย ร่วมในกิจกรรม ณ พระลานพระราชวังดุสิต เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระพรชัยมงคลและถวายพระราชกุศล แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 โดยจะมีพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล ซึ่งจะมีการแสดงดนตรีพระราชทาน และการแสดงแบบชุดไทยพระราชนิยมพระราชทาน ในเวลา 19 นาฬิกา 29 นาที สำหรับจังหวัดต่างๆ และในต่างประเทศ ขอให้พิจารณาจัดกิจกรรมตามแนวทางที่เคยปฏิบัติหรือตามความเหมาะสม รวมทั้ง ขอเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ห้างร้าน และประชาชนร่วมกันประดับธงพระนามาภิไธย “สก" และพระฉายาลักษณ์ ระหว่างวันที่ 7 – 14 สิงหาคมนี้ โดยพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ

และเนื่องใน “วันแม่แห่งชาติ" ปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทาน “คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2560" ความว่า...“สอนให้ลูก เรียนรู้ สู้ปัญหา พัฒนา ด้วยตน จนเติบใหญ่ เพราะคนแกร่ง จะก้าว ได้ยาวไกล เพื่อมาเป็น กำลังไทย ให้แข็งแรง" ผมขอให้ปวงชนชาวไทย ได้น้อมนำใส่เกล้าใส่กระหม่อม เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตของตนและครอบครัวต่อไปด้วย จะได้เป็นส่วนหนึ่งของพลังประชารัฐ และพลังของแผ่นดินไทย ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน เป็นพระมิ่งขวัญของอาณาประชาราษฎร์ตราบกาลนาน

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากการที่ประเทศไทยต้องประสบปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับแหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้งเนื่องจากภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน หรือในฤดูฝนที่มีน้ำหลากก็เกิดปัญหาอุทกภัยขึ้นในหลายๆ พื้นที่ โดยเฉพาะในลุ่มน้ำหลักของประเทศ บางครั้งทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมก็เกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกัน เพียงแต่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แตกต่างกันส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวาง ประกอบกับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาและขยายตัวของประชากรและชุมชนเพิ่มมากขึ้น ความต้องการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ ก็มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมที่ต้องใช้น้ำในขั้นตอนการผลิต และน้ำบาดาลซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย มีการพัฒนาและสูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ จนบางครั้งทำให้บางพื้นที่เกิดวิกฤต “เสียสมดุล" เพราะมีการลดระดับของน้ำบาดาลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องขุดเจาะบ่อลึกลงไปมากกว่าเดิมเพื่อที่จะสูบน้ำบาดาลขึ้นมา เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายและส่งผลกระทบต่อต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นตามไปด้วย

รัฐบาลโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำแผนที่เติมน้ำบาดาลทั่วประเทศ เป็นโครงการเติมน้ำลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินระดับตื้น ใน 3 รูปแบบซึ่งเป็นแนวคิด วิถีทางของปราชญ์ชาวบ้าน โดยให้ทำการศึกษาตามหลักวิชาการ และขยายผลให้เป็นรูปธรรม เป็นสัมฤทธิ์ผล “ทั่วประเทศ" ภายในฤดูฝนของปีนี้ ซึ่งระบบเติมน้ำดังกล่าวได้แก่1) การเติมน้ำฝนผ่านบ่อวง2) การเติมน้ำผ่านสระหรือคลองก้นรั่ว และ3) การเติมน้ำฝนผ่านหลังคาลงสู่บ่อน้ำบาดาลระดับตื้น

ยกตัวอย่างนายทองปาน เผ่าโสภา “ปราชญ์ชาวบ้าน" บ้านหนองปลวกตำบลหนองกุล อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก มีระบบเติมน้ำผ่านบ่อวง เรียกกันเองว่า “แก้มลิงที่มองไม่เห็น" ที่สอดคล้องกับ “ศาสตร์พระราชา" ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นต้น ซึ่งน่าจะสามารถขยายผลได้ โดยภาครัฐเข้าไปสนับสนุนด้านวิชาการและเทคนิคต่างๆ เพิ่มเติม ส่วนในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบนั้นเราจำเป็นต้องรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับหน่วยงาน กิจกรรม และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1. กลไกการขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้แก่ คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ คณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ภายใต้ 10 กระทรวง รวมกว่า 30 หน่วยงาน ซึ่งดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่มีความสำคัญและต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกัน ดังนี้

“พื้นที่ต้นน้ำ" ได้แก่ การหน่วงน้ำฟื้นฟู บำรุงรักษา อนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำ และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บกักน้ำฝนและรักษาความชื้นตามธรรมชาติ ร่วมกับการพัฒนาเขื่อน อ่างกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ ฝายน้ำ รวมทั้งการดำเนินการกับผู้บุกรุก

“พื้นที่กลางน้ำ"มีการฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำลำคลอง การจัดการกับผู้บุกรุกลำน้ำ การจัดการและปรับปรุงพื้นที่การเกษตร ทั้งในและนอกเขตชลประทาน จัดทำระบบส่งน้ำกระจายน้ำ ให้สมบูรณ์ ในพื้นที่ที่สามารถทำได้รวมทั้งพื้นที่แก้มลิงอีกด้วย

สำหรับพื้นที่ปลายน้ำ ประกอบด้วยการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ การขุดลอกปากแม่น้ำและการเร่งผลักดันมวลน้ำให้ระบายลงสู่ทะเล และการดูแลคุณภาพน้ำในลำน้ำ รวมทั้งการจัดการกับผู้บุกรุกลำน้ำเป็นต้น

2. จากกิจกรรมที่กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องจำนวนมากมายอาทิ เรื่องการบริหารทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, เรื่องการชลประทานราษฎร์ การชลประทานหลวง เรื่องผังเมืองรวม เรื่องการขุดลอกแหล่งน้ำสาธารณประโยชน์ เรื่องคันและคูน้ำ เรื่องการเดินเรือในน่านน้ำไทย เรื่องป่าไม้ เรื่องการปฏิรูปที่ดินเพื่อกษตรกรรม เรื่องพลังงานและการประปา ราว 10 ฉบับ เรื่องสิ่งแวดล้อม น้ำบาดาล แผ่นดิน และอสังหาริมทรัพย์ อีก 4 ฉบับ และเรื่องการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อีก 2 ฉบับ เป็นต้น

ทั้งนี้ ด้วยความสลับซับซ้อนในอำนาจหน้าที่และบทบาท ที่ผมได้ยกขึ้นมานั้นส่งผลให้การดำเนินงานทั้งในภาวะปกติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะฉุกเฉิน มักประสบปัญหาด้านความไม่มีเอกภาพ และขาดการบูรณาการ โดยไม่มีผู้รับผิด ชอบหลักและการบังคับบัญชาให้เกิดการดำเนินการที่ชัดเจน รวมทั้งการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง ทำให้การดำเนินงานมีความล่าช้า ซ้ำซ้อน ไม่สามารถผลักดันการดำเนินงานด้านการพัฒนาทรัพยากรน้ำของประเทศให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วเท่าที่ควร

ที่ผ่านมาของรัฐบาลนี้ ได้ริเริ่มจัดทำ “แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ" ในระยะยาวขึ้น ประกอบด้วย กลุ่มกิจกรรมหลักๆ อาทิ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคการผลิต การขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค การป้องกันและบรรเทาอุทกภัย การป้องกันและแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ การฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำและป้องกันการพังทลายของดิน รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการซึ่งผลการดำเนินการ ห้วง 3 ปีที่ผ่านมา สามารถเพิ่มความจุน้ำได้ ร้อยละ 21 ของเป้าหมาย คิดเป็น 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตรจากที่มีอยู่เดิม 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถเพิ่มพื้นที่ชลประทานได้ ร้อยละ 18 ของเป้าหมาย คิดเป็น 2.4 ล้านไร่ จากเดิม 29 ล้านไร่ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ จากการดำเนินการเพิ่มเติมนี้ ราว 7.2 แสนครัวเรือน ทั่วประเทศ แต่ก็ยังไม่ทั่วถึงครับ จะต้องพยายามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้การดำเนินการตาม “แผนยุทธศาสตร์น้ำ" ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ อย่างมาก หากเราสามารถแก้ไขอุปสรรคต่างๆ ที่คอยฉุดรั้งการทำงานอยู่ ทำให้มีแนวโน้มว่าหลายกิจกรรมในอนาคต จะมีปัญหารอการแก้ไข ในกระบวนการทำงานอีก อาทิ 1) การขอให้ หรือจัดหาพื้นที่เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ทั้งจากที่ดินของรัฐซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย หรือที่ดินของเอกชนซึ่งต้องมีการเวนคืน จ่ายค่าชดเชย เยียวยา 2) การทับซ้อนของนโยบายในการพัฒนาแหล่งน้ำและพื้นที่อนุรักษ์3) การไม่มีหน่วยงานกลาง ในการกำหนดนโยบาย ติดตาม และบริหารจัดการน้ำ และ 4) ปัญหามวลชน ประชาชนNGO ที่ไม่เข้าใจ เหล่านี้เป็นต้น

ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำซึ่งรัฐบาลถือว่าเป็นวาระเรื่องเร่งด่วนมีความสำคัญและต้องดำเนินการกันอย่างบูรณาการจึงมีแนวทางที่จะตั้ง “สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ" ให้เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยจะยุบรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำเท่าที่จำเป็นเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้การแก้ไขปัญหาน้ำเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานและงบประมาณ ซึ่งเป็นหนึ่งในงานปฏิรูปและบูรณาการการทำงานของส่วนราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับ พรบ. น้ำ ที่ดำเนินการอยู่ใน สนช. ด้วย

นอกจากนี้ ในที่ประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้มอบนโยบายและให้แนวทางแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คิดถึงเรื่องการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ โดยให้ตั้งเป้าหมายเพื่อบริหารจัดการปัญหาน้ำทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1) น้ำอุปโภคบริโภค 2) น้ำเพื่อภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม 3) น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศน์ รวมทั้งที่เพิ่มเติม แยกออกมาให้ความสำคัญคือ 4) ปัญหาน้ำท่วม และ 5) ปัญหาน้ำแล้ง

ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้ ผมเน้นให้คิดในเชิงพื้นที่ ให้ครอบคลุมทุกภาคของประเทศทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้ ตะวันออก และกรุงเทพมหานคร พื้นที่ในเขต นอกเขตชลประทาน พื้นที่เมืองพื้นที่เชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีปัญหาเรื่องน้ำที่แตกต่างกัน ในแต่ละห้วงเวลา ดังนั้น การบริหารจัดการน้ำจึงต้องทำเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาตอบโจทย์เรื่องน้ำของแต่ละพื้นที่อย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาย้อนกลับมาเหมือนเดิมทุกปีๆ ไป

ผมได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ ต้องใช้ข้อมูลเรื่องปริมาณน้ำ การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน น้ำในเขื่อน ประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำและเขื่อน ประกอบการกำหนด “แผนเผชิญเหตุ" ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงอย่างทันท่วงที อาจจะต้องทำสมมุติฐานไว้ว่า ปกติเป็นอย่างไร ถ้าฝนมากเกินปกติจะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นพายุเข้ามาจะเป็นอย่างไร ต้องเตรียมระดับต่างๆ เหล่านี้ไว้ว่าเราจะเตรียมอะไรไว้บ้างล่วงหน้า จากที่ประชุมก็ได้รายงานว่า ในห้วงเดือนสิงหาคม ถึง เดือนกันยายนนี้ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากพายุที่พาดผ่านทะเลจีนใต้ จะทำให้เกิดฝนตกชุก มีความเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่

ทั้งนี้ ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ผมได้ให้แนวคิดและมอบหมายหน่วยงานไปคิดแผนดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในเรื่องการกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เพิ่มพื้นที่เก็บน้ำ แก้ปัญหาประตูน้ำขุดลอกคลอง ขุดคลองผันน้ำ คลองไส้ไก่ คลองตัดตรง และการจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ เช่นสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่บุกรุก การปลูกป่าในพื้นที่เพื่อชะลอน้ำ ให้กักเก็บน้ำในพื้นที่ตอนเหนือไว้ เพื่อป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจบ้านเรือนพื้นที่เกษตรกรรม โดยให้หน่วยงานนำเสนอแผนมาว่างบประมาณปี 61 และ 62 จะใช้ทำอะไรบ้าง อะไรที่ต้องทำเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมก่อน อาจจะไม่ได้ทั้งหมด แต่ต้องทำเป็นพื้นที่ ต้องลดปัญหาให้ได้ อย่างน้อย 30-50% ให้ได้โดยเร็วเอามาทำก่อน แผนอะไรที่ต้องทำเป็นระยะยาว ก็ให้เสนอมาเป็นแผนระยะต่อไป ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ถึง 2569 ตามแผนใหญ่ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา

สำหรับการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจร ปัจจุบันเราแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 คือปี 57 ถึง 60 ระยะที่ 2 61 ถึง 62 ระยะที่ 3 ปี 63 ถึง 69 ได้เพิ่มรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ในเรื่องของการบริหารจัดการน้ำแบบครบวงจรทั้งระบบนี้ ได้เพิ่มเติม ค้นหาได้จากเว็บไซต์ “รัฐบาลไทย" www.thaigov.go.th รัฐบาลทราบดีว่าวันนี้เรามีเวลาไม่มากนัก ดังนั้นการเตรียมการในเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและเร่งด่วน ที่จะต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน ภาคเอกชนประชารัฐ ร่วมกับ

รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ด้วยความเข้าอกเข้าใจกัน ปัญหาอยู่ที่เรื่องที่ดิน ในการใช้ประโยชน์การแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศและประชาชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใดก็ตาม เราต้องหา “ต้นตอ" ของปัญหาที่แท้จริงให้พบ เช่น เมื่อเห็นมดเดินเป็นสายบนพื้นบ้าน ถึงจะกวาดทิ้งแล้ว เดี๋ยวก็จะกลับมาใหม่ เพราะถ้าไม่ตามไปดูว่า “ต้นตอ" คืออะไรและเพียงแค่หยิบออก ทำความสะอาดแล้ว มดก็จะหายไปเอง ไม่ใช่ตามแก้กันที่ “ปลายเหตุ" เช่นที่ผ่านมา สำหรับปัญหาบ้านเมืองในปัจจุบันนั้น เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงมีความเชื่อมโยงกันหลายมิติ เช่น ปัญหาน้ำท่วม นั้นเกิดจากการบุกรุกป่า การละเมิดกฎหมายผังเมือง การสร้างถนน โรงงาน สร้างเมือง ขวางเส้นทางน้ำธรรมชาติ ฟ้าฝนปรวนแปรจากภาวะโลกร้อน การทิ้งขยะ สวะ วัชพืช อุดตัน ขวางลำน้ำ คูคลอง ท่อระบายน้ำ ไปจนถึงการบริหารจัดการน้ำ ที่ไม่มีการบูรณาการอย่างแท้จริง เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นการแก้ไขปัญหา ก็ต้องแก้ทุกปม ที่ต้นตอปัญหาต่างๆ พร้อมๆ กัน จึงจะได้ผลสัมฤทธิ์ทั้งระบบ รวดเร็ว และยั่งยืน สิ่งสำคัญก็คือ เราจะทำอย่างไรให้ทุกคน ทุกฝ่าย เข้าใจ ยอมรับ พอใจ ร่วมมือ ในทุกกิจกรรม เป็นสิ่งที่ยาก ตามห้วงระยะเวลาในแต่ละพื้นที่ ด้วยความสมัครใจ เต็มใจ และเห็นประโยชน์ส่วนร่วมเป็นที่ตั้ง เราอาจจะต้องเสียสละส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่

แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคคือ “คน" ที่เกี่ยวโยงกับ “หลักคิด" และ “หลักวิชาการ" ซึ่งหลักคิดอาจมีที่มาจากวิถีชีวิต ความเชื่อ รวมทั้งหลักวิชาการที่ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา สภาพแวดล้อม และปัจจัยอื่นๆ ซึ่งหากเรายึดติด ถือมั่น ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ก็จะไม่เกิดการพัฒนา ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เสียหายน้อยกว่า หรือไม่เสียหายเลย เหล่านี้ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า และความสมดุลทางธรรมชาติอีกด้วย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญส่วนหนึ่งของนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0" ที่เน้นการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต และเราก็ต้องไม่ลืมว่า เมื่อจำนวนประชากรเพิ่ม ความต้องการที่อยู่อาศัยก็เพิ่ม ในขณะที่พื้นที่มีอยู่เท่าเดิม รวมทั้งมีความต้องการใช้ทรัพยากร ธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ในขณะที่ทรัพยากรในโลกมีอยู่อย่างจำกัด ปัจจุบันก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว ในอนาคตถ้าเราไม่ตระหนัก ไม่เตรียมพร้อม ไม่รักษาไว้ ปัญหาเหล่านี้ก็จะทวีความรุนแรงขึ้น แต่จะทำอย่างไร ให้สมดุลกับเรื่องของการพัฒนา

การแก้ปัญหาต้องพิจารณาทั้งปัจจัยภายใน ภายนอก ข้อเท็จจริง หลักการ หลักวิชาการ แล้วนำมาหาข้อยุติ ให้ได้ว่าสาเหตุของปัญหาคืออะไร เราจะต้องแก้ไขอย่างไร ใครเกี่ยวข้องบ้าง วิธีการซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายทำอย่างไร ซึ่งอาจต้องส่งผลกระทบใครบางคน หรือบางพื้นที่ แต่ทางออกที่ดีที่สุดคืออะไร สุดท้ายก็ต้องยึดประโยชน์ส่วนใหญ่เป็นสำคัญ ย่อมต้องการความเสียสละ ความร่วมมือ ซึ่งอาจจะต้องมีการชดเชยตามความเหมาะสมด้วย ใครทำแบบนี้ก็จะไม่นำไปสู่ความขัดแย้งอีก เกิดความปรองดองในการแก้ปัญหาทุกปัญหา ทุกวันนี้การแก้ปัญหาของประเทศ มีทั้งง่ายและยาก มีทั้งปัญหาเดิม ปัญหาสะสม ปัญหาทับซ้อน รัฐบาลและ คสช. จึงมุ่งแก้ปัญหาเดิม ลดปัญหาใหม่ ไม่ใช่แก้ตรงนี้ และไปสร้างปม สร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา ที่สำคัญ จะไม่ยอมละเลย เพิกเฉย หรือทิ้งปัญหาให้เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต เพราะว่าแต่ละอย่างต้องทำต่อ แก้ตรงนี้แล้วไปสร้างปมสร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่ ที่สำคัญจะไม่ยอมละเลยเพิกเฉย หรือทิ้งปัญหาให้เป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต เพราะว่าแต่ละอย่างต้องทำต่อ ไม่ใช่ทิ้งภาระ เป็นงานที่ท่านต้องทำต่อ ด้วยวิธีการของท่าน สิ่งไหนทำได้ ผมก็จะทำให้ทันที สิ่งไหนแก้ด้วยวิธีเดิมๆ แล้วไม่ยั่งยืน แก้อะไรไม่ได้ ก็ต้อง “คิดใหม่ให้รอบคอบ ทำใหม่ให้เกิดการบูรณาการ" เพื่อลดความเดือดร้อน และดูแลพี่น้องประชาชน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย อย่างเท่าเทียม

การที่มีบางกลุ่ม บางฝ่ายออกมากล่าวอ้าง หลักสากลบ้าง สิทธิมนุษยชนบ้าง หรือการรักษ์สิ่งแวดล้อมบ้าง ผมก็อาจกล่าวได้ว่า ก็ถูกต้อง แต่พอเอามาผสมโรงกัน ทำให้ทำอะไรไม่ได้เลย พัฒนาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แต่ความเสียหายเกิดขึ้น ทุกครั้ง ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไร ที่จะให้ทุกอย่างเดินหน้าไปพร้อมๆกันได้สักที ให้เกิดผลกระทบระหว่างกันให้น้อยที่สุด ต้องหาทางออกให้ได้ เพราะสุดท้าย ปลายทางของปัญหาของปัญหาเหล่านั้นที่เราทำกันไม่ได้ก็มาตกอยู่ที่ประชาชนประเทศชาติ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เคยชินกับการถูกปล่อยปละละเลย ไม่จริงใจในการช่วยเหลือ อาจจะถูกนายทุนที่ไม่ดีหลอกใช้ หรือทำให้ถูกบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม กลายเป็น “แพะรับบาป" และเป็นเหยื่อเกมการเมือง ที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ โดยถูกนำไปกล่าวอ้างความชอบธรรม เหล่านี้เป็นต้น ผมพูดถึงโดยรวม

ทั้งนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นปัญหา “เร่งด่วน" ของบ้านเมืองคือ 1. การเร่งลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ดูแลให้ประชาชนมีโอกาสที่เท่าเทียม ลดความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการของภาครัฐได้เต็มที่ อาทิ การเร่งบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยน้ำท่วม ฝนแล้ง การเพิ่มรายได้มวลรวมของประเทศ ภาค จังหวัด โดยเฉพาะตั้งแต่ระดับฐานราก เพื่อช่วยบรรเทาปัญหารายได้ที่ไม่เพียงพอกับรายจ่ายจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น การให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยที่เพียงพอ ได้มาตรฐาน รวมถึงการเข้าถึงบริการสาธารณะ อาทิ สาธารณสุข การศึกษา และกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย สลับซับซ้อนมากมาย หลายวิธีการ หลายขั้นตอน หลายแผนงานโครงการ เอาเร็ว เอาด่วนไม่ได้ ก็ต้องค่อยๆทำไป ตามนโยบาย ตามศักยภาพที่เรามีอยู่

2. การพัฒนาศักยภาพคน ให้มีทักษะความรู้ ผมจะขอกล่าวถึงในช่วงท้ายอีกครั้ง และเราก็ต้องเร่งในเรื่องของการเป็นคนดีมีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ แบ่งปัน มีจิตอาสา ทำประโยชน์ให้สังคมและประเทศชาติ มีการส่งเสริมกิจกรรมกีฬาควบคู่ไปด้วยเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เน้นการป้องกัน เพื่อลดรายจ่ายในการรักษาพยาบาล และที่สำคัญ ต้องมีการดูแล เตรียมการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประเทศอย่างเหมาะสมด้วย

3. คือเรื่องของการสร้างความมั่นคงในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ เพื่อการลงทุนเพื่ออนาคต เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ในการเชื่อมโยงทางกายภาพด้านการคมนาคมขนส่ง ทางถนนทางรางทางน้ำทางอากาศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ให้กับประเทศเพื่อให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน รวมทั้งมีแนวทางในการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ ให้กับประชาชนและรัฐบาล เกิดความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ที่มีการวางแผนการใช้ การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทน ในอัตราส่วนที่เหมาะสม นอกจากนี้ ต้องดูแลให้ทุกฝ่ายมีหลักคิด ลัทธิ ศาสนา มีคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล ให้สังคมปราศจากความขัดแย้ง ประชาชนอยู่อย่างมีสันติสุข

4. การยกระดับด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ต้องเร่งให้มีกฎหมายที่ทันสมัย อำนวยความสะดวก ไม่เป็นอุปสรรคและลดภาระให้กับภาคธุรกิจ และประชาชน เช่น ในเรื่องEase of doing business ที่เรากำลังดำเนินการอยู่ เพื่อลดขั้นตอน กระบวนการ ให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการทั้งการค้าและการลงทุนได้ง่าย รวดเร็ว และขณะเดียวกันต้องไม่สร้างความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน ในการบังคับใช้กฎหมายด้วย รวมทั้งจะต้องเร่งขจัดทุจริตทั้งจาก ผู้ให้ ผู้รับ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้เสนอ ผ่านทั้งการใช้กฎหมาย และปรับวิธีการให้รัดกุมและเป็นสากล นอกจากนี้ก็ควรจะเร่งสร้างการยอมรับ ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ในกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ อัยการ และศาลด้วย องค์กรอิสระด้วย

5.การดูแลสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เรื่องการจัดสรรที่ดิน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ป่า และน้ำ ที่รวมถึงการรักษาคูคลอง แม่น้ำ ทะเล ดูแลให้มีระเบียบ น่ามอง ไร้มลพิษ ซึ่งจะต้องส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ สร้างความยั่งยืน เป็นมิตร และปลอดภัย อีกทั้ง ยังช่วยบรรเทาผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์เรือนกระจกและ การเปลี่ยนแปลงอากาศของโลก ที่จะส่งผลต่อพี่น้องเกษตรกรอีกด้วย

6. การยกระดับการบริหารราชการของภาครัฐ ที่ต้องเร่งพัฒนาแบบบูรณาการ ตามนโยบาย “ประเทศไทย 4.0" โดยปรับระบบราชการให้ทันสมัย ไม่ล่าช้า นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาเสริมการทำงาน โดยต้องมีมาตรการคุ้มครองและการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมควบคู่ไปด้วย นอกจากนี้ ต้องเร่งดูแลการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ และภาระ “รัฐสวัสดิการ" ที่จำเป็น ซึ่งนับวันจะสูงขึ้นต่อเนื่องครับ

7. การดูแลความเสี่ยงจากภายนอก เพิ่มขึ้นในทุกมิติ ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ปัจจุบัน ความสมดุลได้เปลี่ยนไป จากการขยายอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจในโลก ทำให้เห็นการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น มีลัทธิสุดโต่ง อาชญากรรมข้ามชาติและปัญหายาเสพติดก็ยังไม่หมดไป นอกจากนี้ การที่เทคโนโลยีทันสมัย ทำให้โลกไร้พรมแดน เราต้องเร่งดูแลในเรื่องภัยคุกคามไซเบอร์ และการฉ้อโกงในโลกออนไลน์ ขณะที่การสาธารณสุขก็จะต้องระแวดระวัง ในเรื่องของโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างต่อเนื่องด้วย เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่ผมหยิบยกมาเล่าให้ฟัง อาจจะเล่าให้ฟังหลายครั้งด้วย เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนัก ทุกคนได้ติดตาม ได้เรียนรู้ด้วยความเข้าใจว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องใดอยู่ อย่างไร แล้วจะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง ก็จะมีทั้งได้ทั้งเสีย และท้ายสุดก็จะมีได้ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป ที่เราจะร่วมมือกัน เพราะว่าถ้าหากท่านมีส่วนร่วม สนับสนุนในกิจกรรมต่างๆ ถึงจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่ความสำเร็จของรัฐบาล รัฐบาลทำไม่ได้แต่เพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว แต่จะเป็นความสำเร็จของ “คนไทย" ทั้งประเทศร่วมกัน ภาคภูมิใจร่วมกัน

วันนี้ผม คิดว่าการแก้ปัญหาประเทศต้องเริ่มที่ “คุณภาพของคน" ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราทุกคนเป็นคนเต็มคน นอกไปจากพ่อแม่ ครอบครัวแล้ว ก็คือการศึกษา การที่ประเทศจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ผมถือว่าคนเป็นปัจจัยสำคัญ และการศึกษา ก็คือสิ่งที่จะมาช่วยเพิ่มศักยภาพของคนในประเทศ รัฐบาลและ คสช. ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะการมีคนที่มีศักยภาพ มีความรู้ จะช่วยเพิ่มความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคงในสังคม และจะช่วยเพิ่มศักยภาพ และความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย ประเทศที่คนที่มีคุณภาพ มีการศึกษา มีทักษะที่ดี ก็จะมีพื้นฐานที่ดี ผลิตสินค้าได้มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ เอกชนก็ต้องการจะมาลงทุน เพิ่มงาน เพิ่มศักยภาพของประเทศ และรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เราตั้งเป้าหมายการพัฒนาคน ตามร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไว้ว่า “การพัฒนาคนให้มีศักยภาพในการพัฒนาประเทศ มีความพร้อมทั้งกาย ใจ และสติปัญญา ให้มีทักษะคิด วิเคราะห์ มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกที่ดีงาม เพื่อนำไปสู่งานและรายได้ที่สร้างความมั่นคงให้ชีวิต ครอบครัวมีความอบอุ่น ชุมชนมีความเข้มแข็ง รวมถึงสังคมมีความปรองดอง สามัคคี สามารถจะผนึกกำลังเพื่อพัฒนาประเทศได้ต่อไป"

แต่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนั้นก็เช่นกันไม่ใช่เรื่องง่าย คือคิดแล้วพูดอย่างเดียว ไม่ทำ ก็ไปไม่ได้อยู่ดี พอเริ่มทำไปแล้ว ปัญหาก็เข้ามาทับถม ต้องแก้กันไป ทำกันไป อย่าใจร้อน ปัจจุบัน เรามีเรื่องท้าทายที่ถาโถมเข้ามาและเป็นอุปสรรคในการพัฒนาคนในหลายๆ ด้าน

ด้านแรก คือการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร คนไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 หมายถึง 1 ใน 5 คนไทย จะเป็นผู้สูงอายุ วัยเด็กและวัยแรงงานก็จะลดลงไปเรื่อยๆ คนในวัยทำงานจะมีจำนวนลดลง มีคนสูงอายุให้ดูแลเพิ่มขึ้น คนในวัยทำงาน ก็ต้องทำงานหนักขึ้นหรือต้องทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อชดเชยด้วย

ด้านที่สอง คือช่องว่างระหว่างวัย จากกลุ่มประชากรที่เกิดและเติบโต ในช่วงเวลาที่สภาวะแวดล้อมต่างกัน แนวคิด มุมมอง รูปแบบการใช้ชีวิต การทำงานก็จะต่างกันออกไป ความขัดแย้งอาจจะมีมากขึ้น หากไม่เข้าใจกัน การดูแลให้สังคมสงบสุข ก็จะทำได้ยากขึ้น

ด้านที่สาม เป็นความท้าทายจากภายนอก ที่สำคัญคือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ที่ทำให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับคนที่ใช้เทคโนโลยีเป็น เอามาใช้งานได้ สร้างรายได้ให้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้ความเหลื่อมล้ำมากขึ้นด้วย เพราะกลุ่มที่ไม่คุ้นเคย เปลี่ยนยาก ไม่ชอบเทคโนโลยี ก็อาจเสียโอกาส ไม่ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการนำเทคโนโลยี มาใช้แทนคนมากขึ้นในการผลิต การบริการเช่น พนักงาน call center หรือพนักงานในโรงงาน ก็จะส่งผลเสีย คนตกงาน รายได้ลดลง

ความท้าทายทั้งหมดนี้ จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพความเป็นอยู่ และในที่สุดก็จะส่งผลถึงศักยภาพของคน ที่เป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะขับเคลื่อนประเทศด้วย ดังนั้น เราจึงต้องรีบหาทางรับมือกับความท้าทาย หาทางแก้ไขปัญหา และปรับตัว ซึ่งการปรับเปลี่ยนจะต้องทำไปพร้อมๆ กันทั้งการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ และการเปลี่ยนค่านิยม และวัฒนธรรมเพื่อให้เป็นคนที่มีทั้งทักษะความรู้ หรือ skillset ควบคู่กับความคิดและจิตใจ หรือ mindset ซึ่งผมเห็นว่าการที่จะให้เราสามารถทำการเปลี่ยนโฉม เพื่อรับความท้าทายให้ได้ดี ระบบการศึกษาจะมีส่วนสำคัญ ที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ เล็งเห็นถึงปัญหาและความท้าทายนี้ และพยายามที่จะวางแนวทางปฏิรูปการศึกษาที่ชัดเจน เป็นรากฐานการเดินหน้าต่อไป อย่างเป็นรูปธรรม

การปฏิรูปการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่นี้นับเป็นการปฏิรูปครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีก็ว่าได้ ที่ผ่านมา ได้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อปฏิรูปการศึกษาตามรัฐธรรมนูญปี 2560 เพื่อวางรากฐานในการปรับปรุงการเรียนการสอน รวมถึงโครงสร้างของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การปฏิรูปมีความสอดคล้องกันในแต่ละพื้นที่ สามารถเดินหน้าสร้างคนที่มีศักยภาพของประเทศได้ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการปฏิรูปนี้ จะเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และเป็นการวางแนวทางให้ครบวงจร เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน และสามารถเพิ่มศักยภาพของคนให้มีทักษะความรู้คู่จิตใจ แนวทางการปฏิรูปการศึกษานี้ เริ่มจากการปฏิรูประบบครู โดยมีการปรับปรุง ทั้งการคัดเลือก ปรับระบบสอบคัดครู โดยใช้ข้อสอบกลาง เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ รวมถึงการดำเนินงานโครงการครูคืนถิ่น เพื่อให้ครูสามารถกลับไปพัฒนาถิ่นฐานบ้านเกิดของตน และมีการประกาศรับสมัครครูผู้ช่วยจากผู้ที่ไม่ได้จบครุศาสตร์ ในสาขาวิชาขาดแคลน ในการพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่เก่ง และดี เข้ามาช่วยสร้างภาวะแวดล้อมในการเรียนรู้ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งสถาบันคุรุพัฒนาในการดูแลคุณภาพการผลิตครูให้กับทั้งระบบ โดยมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์วิทยฐานะครู เพื่อจูงใจให้ครูได้มีการพัฒนาตนเอง

ด้านการจัดการศึกษาก็มีแผนการดำเนินการอย่างครบวงจร เริ่มตั้งแต่ระดับปฐมวัย/โดยมีการจัดการศึกษาภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ที่กำหนดโดยคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ รวมถึงมีการจัดทำนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ.2560-2564 สำหรับในด้านการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการปรับหลักสูตร โครงสร้างชั่วโมงเรียนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละโรงเรียน รวมทั้งปรับเปลี่ยนระบบการจัดการเรียนการสอน เพิ่มห้องแล็บวิทยาศาสตร์ และเน้นสะเต็มศึกษา เพื่อให้นักเรียนสามารถผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ สามารถบูรณาการความรู้ไปใช้ในการพัฒนากระบวนการ หรือสร้างผลผลิตใหม่ได้ นอกจากนี้ ยังให้มีการปรับปรุงมาตรฐานตำราให้ทันสมัย และได้มาตรฐาน มีระบบการใช้หนังสือยืมเรียน ผลักดันโครงการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ รวมทั้งจัดให้มีโครงการโรงเรียนไอซียู ที่เริ่มดำเนินการต้นปี 2560 ขณะนี้มีโรงเรียนในโครงการ ทั้งสิ้น 5,032 แห่ง ซึ่งเกินเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 4,000 โรงต่อปี โดยได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจากภาคเอกชนหลายแห่ง เข้ามาเสริมเติมเต็ม ซึ่งเป็นที่น่าชื่นชมว่าผลการดำเนินงานทุกโรงเรียนในโครงการนี้ ได้รับการแก้ปัญหาจนพ้นจากสภาวะไอซียู ทั้งหมดแล้ว

ด้านอาชีวศึกษา ได้เน้นการมุ่งผลิตคนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการแรงงานประเทศยุค “ไทยแลนด์ 4.0" ในโครงการ Education to Employment หรือ E-to-E ที่เป็น “โครงการค่ายอาชีวะฤดูร้อน" ที่เปลี่ยนโรงงานเป็นโรงเรียน โดยเป็นการฝึกอบรม หลักสูตรระยะสั้น เพื่อให้นำไปใช้ทำงานได้จริง ทำงานจริง ซึ่งจะเป็นหลักสูตรเฉพาะเจาะจงที่ผู้จ้างงานมีความต้องการ และยังมีความขาดแคลนในตลาดแรงงาน หรือไม่ได้มีการสอนในโรงเรียนอาชีวะ เช่น ช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ ช่างตรวจรอยร้าวอาคาร การทำบัญชีสำหรับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งจะรวมถึง เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงด้วย โครงการนี้ เริ่มต้นจากปัญหาในเรื่องเด็กที่เรียนจบแล้ว แต่ไม่มีงานทำ หรือต้องการเรียนที่วิทยาลัยข้างนอก ไม่มีสอน หรือทำไม่ได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ