สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สรุปภาวะตลาดตราสารหนี้ไทยวันนี้มีมูลค่าการซื้อขายรวม 27,783 ล้านบาท โดยประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดของวัน คือ พันธบัตร ธปท. มีมูลค่าการซื้อขาย 22,605 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 81% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้
สำหรับประเภทของตราสารที่มีมูลค่าการซื้อขายเป็นลำดับถัดมาคือ พันธบัตรรัฐบาล มีมูลค่า 3,634 ล้านบาท โดยพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุคงเหลือประมาณ 3 ปี 4 ปี และ 6 ปี (LB145B LB15DA และ LB17OA) เป็นที่นิยมซื้อขายสูงสุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 2,455 ล้านบาท หรือคิดเป็น 68% ของมูลค่าการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลทั้งหมด ทางด้าน หุ้นกู้เอกชน มีมูลค่าการซื้อขายรวม 924 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ หุ้นกู้ของ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (AYCAL145A) หุ้นกู้ของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT183A) และหุ้นกู้ของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BGH153A) โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกัน 542 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59% ของมูลค่าการซื้อขายหุ้นกู้เอกชนทั้งหมด
กลุ่มนิติบุคคลในประเทศมีสถานะซื้อสุทธิ 1,245 ล้านบาท นักลงทุนกลุ่มกองทุนมีสถานะซื้อสุทธิ 279 ล้าน และกลุ่มของนักลงทุนต่างประเทศมีสถานะขายสุทธิ 1,799 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Yield) ค่อนข้างคงที่ตลอดทุกช่วงอายุของตราสารหนี้ เนื่องจากเป็นช่วงปลายปีตลาดจึงค่อนข้างเงียบ ประกอบกับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ที่ไม่ได้ออกมาตราการใหม่ๆเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ในกรอบ 0 — 0.25% ตามที่ตลาดคาดการณ์ สำหรับทางฝั่งยุโรป ข่าวว่าสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน อาจมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศสมาชิก EU 27 ประเทศ หลังจากที่ผลการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรป ไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุคงเหลือ 3 เดือน ปิดคงที่ที่ 3.16% และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุคงเหลือ 5 ปี ปิดคงที่ที่ 3.08%