นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการเจรจาหาพันธ์มิตรทางธุรกิจที่เป็นธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นในกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มเติม ได้แก่ อินโดนีเซีย 3 แห่ง ลาว 2 แห่ง และสิงค์โปร์ โดยที่ผ่านมาธนาคารร่วมเป็นพันธมิตรแล้ว 2 แห่ง คือ ธนาคารเวียดติน และธนาคารเพื่อการพัฒนาเกษตรแห่งเวียดนาม (Agricultural Bank)
นโยบายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะสั้นของธนาคารในการรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี) ในปี 58 โดยเฉพาะการนำลูกค้าเอสเอ็มอีของธนาคารขยายไปสู่ตลาดแถบนี้และในปี 55 จะเริ่มจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจในกลุ่มประเทศดังกล่าวด้วย ซึ่งในปี 54 ได้เริ่มแผนนี้กับเอสเอ็มอีไทย ญี่ปุ่นและจีน ส่วนแผนระยะยาวธนาคารอาจพิจารณาเปิดสาขาหรือร่วมทุนกับธนาคารพาณิชย์ในกลุ่มเออีซีด้วย
ปัจจุบัน ธนาคารมีลูกค้าเอสเอ็มอีที่มีธุรกรรมการค้าในกลุ่มอาเซียนจำนวน 50,000 รายคิดเป็นสัดส่วน 20% ของฐานสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ 430,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการเข้าสู่เออีซี จึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะธุรกิจสิ่งทอ เครื่องนุ่มห่ม และเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากมีต้นทุนการประกอบการสูงจากค่าแรงงงาน ซึ่งอาจแข่งขันไม่ได้ในตลาดเออีซี ดังนั้นธนาคารอาจแนะนำลูกค้าย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศไปในกลุ่มประเทศที่ต้นทุนค่าแรงต่ำกว่าเพื่อการแข่งขัน
ส่วนธุรกิจเอสเอ็มอีที่ถือเป็นจุดแข็งและแข่งขันได้ คือ แปรรูปสินค้าเกษตร ท่องเที่ยวและบริการ การก่อสร้างและพลังงาน ซึ่งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการจะขยายตลาดก่อนกลุ่มธุรกิจอื่นเนื่องจากใช้เงินทุนไม่สูง
นายปกรณ์ กล่าวว่า ช่วง 2-3 ปีนับจากนี้การค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศอาเซียนจะมีอัตราการเติบโต10% ในขณะที่เศรษฐกิจในกลุ่มนี้จะเติบโต 5-6% ต่อปี สำหรับธนาคารในปี 55 ปริมาณธุรกรรมระหว่างประเทศในกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอีจะเติบโต 28% หรือจาก380,000-490,000 ล้านบาทและสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารเติบโตจากปีนี้ 22% และวางเป้าสินเชื่อเอสเอ็มอีเติบโต 12% จาก430,000 ล้านบาท เป็น 480,000 ล้านบาท